งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน
บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน Biology (40242)

2 บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน
บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน 5.1 อาหารและการย่อยอาหาร 5.1.1 การย่อยอาหารของจุลินทรีย์ 5.1.2 การย่อยอาหารของสัตว์ 5.1.3 การย่อยอาหารของคน 5.2 การสลายสารอาหารระดับเซลล์ 5.2.1 การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน 5.2.2 การสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน

3 การย่อยอาหารของคน

4 การย่อยอาหารของคน (Human)
การย่อยอาหารของคนมีกระบวนการย่อย 2 แบบ คือ 1. การย่อยเชิงกล (Mechanical Digestion) โดยการใช้ฟันบดเคี้ยว และการบตัวคลายตัวของทางเดินอาหาร เช่น  หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เป็นต้น 2. การย่อยทางเคมี (Chemical Digestion) โดยการใช้น้ำย่อย หรือ เอนไซม์ ทำให้อาหารเปลี่ยนแปลงจนเป็นโมเลกุลเดี่ยว ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้

5 ระบบย่อยอาหารของคน (Human)
ระบบย่อยอาหารของคน ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ       ก. ท่อเดินอาหาร ( ALIMENTARY CANAL ) ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ดังนี้ 1.    ปาก ( MOUTH CAVITY ) 2.    หลอดคอหรือคอหอย ( PHARYNX ) 3.    หลอดอาหาร ( ESOPHAGUS ) 4.    กระเพาะ ( STOMACH 5.    ลำไส้เล็ก ( SMALL INTESTINE ) 6.    ลำไส้ใหญ่ ( LARGE INTESTINE ) 7.    ไส้ตรง ( RECTUM ) 8.    ทวารหนัก ( ANUS ) ข. อวัยวะช่วยในการย่อยอาหาร ( ACCESSORY ORGANS ) 1.    ตับ ( LIVER ) หลั่งน้ำดีช่วยในการย่อยไขมัน 2.    ตับอ่อน ( PANCREAS ) หลั่งน้ำย่อย และ NaHCO3

6

7

8 1. ปาก (Mouth) การย่อยอาหารในปาก
ปาก (Mouth) เป็นทางเดินอาหารเริ่มแรก ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่างๆทำหน้าที่ร่วมกัน มีทั้งการย่อยเชิงกล (Mechanical Digestion) และการย่อยทางเคมี (Chemical Digestion) การทำงานของอวัยวะภายในปากที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร มีดังต่อไปนี้ ฟัน (Teeth) ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland) ลิ้น (Tongue)

9 ฟัน (Teeth) ฟัน (Teeth) ทำหน้าที่ บดอาหารให้มีขนาดเล็กลง มี 2 ชุด คือ
1. ฟันน้ำนม (Deciduous Teeth) มี 20 ซี่ เริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน จะขึ้นครบเมื่อมีอายุประมาณ 2 ปี 2. ฟันแท้ (Permanent Teeth) มี 32 ซี่ เริ่มขึ้นเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกหักและหลุดไป และจะขึ้นครบหรือเกือบครบเมื่ออายุประมาณ 21 ปี แต่บางคนอาจมีเพียง 28 ซี่ เท่านั้น ฟันแท้ประกอบด้วยฟันชนิดต่างๆ ดังนี้ (นับจากกึ่งกลางออกทางด้านข้างของฟันแต่ละข้าง) 2.1 ฟันตัด (Incisor หรือ I) มี 2 ซี่ ทำหน้าที่ตัดอาหาร ในสัตว์ที่กินอาหารโดยการแทะจะมีฟันชนิดนี้เจริญดีที่สุด 2.2 ฟันฉีก หรือ เขี้ยว (Canine หรือ C) มี 1 ซี่ ทำหน้าที่กัดและฉีกอาหาร     มีลักษณะค่อนข้างแหลมคม ในสัตว์กินเนื้อ เขี้ยวจะเจริญดีที่สุด ไว้สำหรับล่าเหยื่อ ในสัตว์กินพืช เขี้ยวไม่มีหน้าที่สำคัญ 2.3 ฟันกรามหน้า (Premolar หรือ P) มี 2 ซี่ ทำหน้าที่ตัดและฉีกอาหาร ในสัตว์กินเนื้อ เช่น เสือ  สุนัข แมว จะมีฟันกรามหน้าเติบโตแข็งแรงเป็นพิเศษ 2.4 ฟันกรามหลัง (Molar หรือ M) มี 3 ซี่ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร ฟันกรามซี่สุดท้ายอาจโผล่ขึ้น มาไม่พ้นเหงือก จึงอาจเหลือแค่ 2 ซี่ ดังนั้นในคนบางคนจึงอาจมีเพียง 28 ซี่ เท่านั้น

10 ฟัน (Teeth)

11 ฟัน (Teeth)

12 ภาพด้านข้างฟันของสุนัข

13 โครงสร้างฟัน(Structure of teeth)
โครงสร้างของฟัน แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. ตัวฟัน (Crown) เป็นส่วนของฟันที่โผล่พ้นเหงือกทั้งหมด ผิวด้านนอกเคลือบด้วยสารเคลือบฟัน (Enamel) เป็นสารสีขาว มีความแข็งแรงมากที่สุด ส่วนล่างของสารเคลือบฟันเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหนา ประกอบด้วยหินปูน เรียกว่าเนื้อฟัน (Dentin) ส่วนแกนกลางของตัวฟันมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อ่อนนุ่ม เรียกว่า โพรงฟัน (Pulp Cavity) ซึ่งภายในประกอบด้วยหลอดเลือดเล็กๆ และปลายประสาท 2. คอฟัน (Neck) เป็นส่วนของฟันที่ฝังอยู่ในเหงือกถัดจากตัวฟันลงไป อยู่บริเวณที่ Enamel กับ Cementum ของรากฟันมาพบกัน 3. รากฟัน (Root) เป็นส่วนของฟันที่อยู่ในช่วงกระดูกขากรรไกรและยึดติดกับกระดูกโดยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรง มี Cementum หุ้มอยู่บางๆ ช่วยยึดรากฟัน ตรงกลางรากฟันเป็นช่อง เรียกว่า Root Canal เป็นทางที่เส้นเลือดและเส้นประสาทจะเข้าสู่โพรงฟัน

14 Structure of teeth

15 Structure of teeth

16 Structure of teeth

17 ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland)
ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland) ทำหน้าที่สร้างน้ำลาย (Saliva) ส่งออกทางท่อน้ำลายไปสู่ช่องปาก มี 3 คู่ 1. ต่อมข้างกกหู (Parotid Gland) อยู่บริเวณกกหูทั้ง 2 ข้าง สร้างน้ำลายชนิดใสเพียงอย่างเดียว มีขนาดใหญ่ที่สุด ถ้าเกิดการอักเสบ บริเวณกกหูทั้ง 2 ข้างจะบวมแดง เรียกว่า โรคคางทูม ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 25% ของน้ำลายทั้งหมด 2. ต่อมใต้ขากรรไกร (Submaxillary Gland) สร้างน้ำลายทั้งชนิดใสและชนิดเหนียว แต่มีน้ำลายทั้งชนิดใสมากกว่า ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 70% ของน้ำลายทั้งหมด 3. ต่อมใต้ลิ้น (Sublingual Gland) สร้างน้ำลายทั้งชนิดใสและชนิดเหนียว แต่มีน้ำลายทั้งชนิดเหนียวมากกว่า ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 5% ของน้ำลายทั้งหมด

18 Salivary Gland

19 น้ำลาย น้ำลาย มีลักษณะเป็นของเหลว มี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดใส (Serous) มีน้ำย่อยอะไมเลสหรือไทยาลิน (Amylase or Ptyalin) ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้เป็น เดกซ์ตริน (Dextrin) ซึ่งเป็นแป้งที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลง 2. ชนิดเหนียว (Mucous) ช่วยให้การคลุกเคล้าอาหารผสมกับน้ำย่อยเกิดได้ดี และสะดวกต่อการกลืนอาหาร ส่วนประกอบของน้ำลายมีดังนี้ 1. เอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ช่วยย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต 2. น้ำ (Water) มีประมาณ 99.5% เป็นตัวทำละลายสารอาหาร 3. น้ำเมือก (Mucin) เป็นสารคาร์โบไฮเดรต ผสมโปรตีน ช่วยให้อาหารรวมตัวกันเป็นก้อน ลื่น และกลืนสะดวก น้ำลายจะถูกสร้างจากต่อมน้ำลายประมาณ ลิตร มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน (pH ) ทำหน้าที่ละลายอาหาร ป้องกันไม่ให้ปากแห้ง และช่วยในการเคลื่อนไหวของลิ้นในขณะพูด

20 ลิ้น (Tongue) ลิ้น (Tongue) เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วในหลายทิศทาง ทำหน้าที่สำคัญ ดังนี้ รับรสอาหาร เพราะมีต่อมรับรส (Taste Budd) ช่วยคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำลาย และตตะล่อมให้อาหารเป็นก้อน ช่วยหน่วงเหนี่ยวอาหารไม่ให้ไหลผ่านคอหออยเร็วเกินไป ช่วยในการกลืนอาหาร ช่วยในการพูด ทำให้พูดชัดเจน

21 ลิ้น (Tongue) เอนไซม์อะไมเลสจะสลายตัวเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร เพราะในอาหารจะมีกรดเกลือ (HCl) อยู่ การกลืนอาหาร (Swallowing) อาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อหลายชุด บังคับให้อาหารผ่านจากปากเข้าสู่หลอดอาหาร โดยมีกลไกดังนี้ เริ่มแรกเป็นการทำงานของกล้ามเนื้อลิ้น โดยโคนลิ้นจะเคลื่อนไปทางด้านหลังและด้านบน ผลักอาหารเข้าสู่คอหอย (Pharynx) ในขณะเดียวกัน เพดานอ่อน (Soft Palate) ที่ห้อยโค้งลงมาบริเวณโคนลิ้นจะเลื่อนขึ้นโดนอัตโนมัติไปปิดรูเปิดของช่องจมูกทั้ง 2 เพื่อป้องกันไม้ให้อาหารพุ่งขึ้นมาทางจมูก จากนั้นปิดฝากล่องเสียง (Epiglottis) ปิดทางเข้าหลอดลม กั้นไม่ให้อาหารตกลงสู่หลอดลมได้ ข้อควรทราบ ศูนย์ควบคุมการกลืนอาหารคือ Medulla Oblongata อยู่ตรงประสาทสมองคู่ที่ 10 (Vagus Nerve) การกลืนอาหารจัดเป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์

22 ลิ้น (Tongue)

23 ลิ้น (Tongue)

24

25 2. คอหอย (Pharynx) คอหอย (pharynx) เป็นทางผ่านร่วมกันของ ทางเดินอาหาร และทางเดินอากาศ โดยคอหอยต่อมาจากส่วนของช่องปาก (mouth cavity) เข้าสู่หลอดอาหาร และ ต่อมาจากส่วนของช่องจมูก (nasal cavity) ช่องหู (eustachian tubes) เข้าสู่กล่องเสียง (larynx)

26 Pharynx

27 3. หลอดอาหาร (Esophagus)
หลอดอาหาร (Esophagus) หลอดอาหารมีลักษณะเป็นท่อกล้ามเนื้อที่ต่อจากคอหอย อยู่ทางด้านหลังของหลอดลม (Trachea) ไปสิ้นสุดที่กระเพาะอาหาร ตรงบริเวณถัดจากส่วนล่างของแผ่นกะบังลม (Diaphragm) มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ลักษณะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการย่อยในหลอดอาหาร มีดังนี้ หลอดอาหารไม่มีต่อมสร้างน้ำย่อย แต่ยังมีการย่อยอาหารต่อเนื่องมาจากในปาก หลอดอาหารมีต่อมขับน้ำเมือก (Mucous Glaand) กระจายอยู่ทั่วไป น้ำเมือกเหนียวข้นที่หลั่งออกมาจะช่วยในการหล่อลื่น ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านได้สะดวก อาหารที่เคลื่อนผ่านไปตามหลอดอาหรได้โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหารซึ่งจะหดและคลายตัวเป็นจังหวะเป็นช่วงๆต่อเนื่องกัน เรียกว่า Peristalsis อาหารถูกย่อยเชิงกลโดยกระบวนการ Peristaalsis หลอดอาหารเป็นบริเวณแรกที่มีกระบวนการ Peristalsis

28 หลอดอาหาร (Esophagus)

29 4. กระเพาะอาหาร (Stomach)
กระเพาะอาหาร (Stomach) อยู่ทางด้านซ้ายของร่างกาย ใต้กะบังลม (Diaphragm) ในสภาพไม่มีอาหารบรรจุอยู่ จะมีปริมาตร 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อมีอาหารสามารถขยายได้ถึง เท่า ส่วนต่างๆของกระเพาะอาหาร แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. Cardiac Region หรือ Cardium เป็นส่วนของกระเพาะอาหารตอนบนอยู่ต่อจากหลอดอาหาร มีกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า Cardiac Sphincter ป้องกันไม่ให้อาหารภายในกระเพาะอาหารย้อนกลับสู่หลอดอาหาร 2. Fundus เป็นกระเพาะอาหารส่วนกลาง มีลักษณะเป็นกระพุ้งใหญ่ที่สุด 3. Pylorus หรือ Pyloric Region เป็นกระเพาะอาหารส่วนปลายติดต่อกับลำไส้เล็กตอนต้น (Duodenum) มีลักษณะเล็กเรียวแคบลง ตอนปลายสุดของกระเพาะอาหารส่วนนี้มีกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า Pyloric Sphincter ป้องกันไม่ให้อาหารออกจากกระเพาะอาหาร

30 กระเพาะอาหาร (Stomach)

31 Stomach

32 ลักษณะผนังกระเพาะอาหาร
ลักษณะผนังกระเพาะอาหาร ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น ดังนี้ 1. ชั้นนอก เป็นกล้ามเนื้อเรียบตามแนวยาว 2. ชั้นกลาง เป็นกล้ามเนื้อวงตามขวาง 3. ชั้นในสุด เป็นกล้ามเนื้อในแนวทแยง ลักษณะพับไปมา เรียกว่า Rugae ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการย่อยอาหาร

33 กลุ่มเซลล์ภายในกระเพาะอาหาร
กลุ่มเซลล์ภายในกระเพาะอาหาร แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. Mucous Epithelial Cell หรือ Mucous Neck Cell ทำหน้าที่ สร้างน้ำเมือกที่มีฤทธิ์เป็นเบส ฉาบผิวของระเพาะอาหารไม่ให้เป็นอันตราย 2. Parietal Cell หรือ Oxyntic Cell ทำหน้าที่ สร้างกรดไฮโดรคลอริก (HCl) เข้มข้น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร 3. Chief Cell หรือ Zygamatic Cell ทำหน้าที่ สร้าง Pepsinogen และ Prorennin ซึ่งเป็น Proenzyme

34 หน้าที่ของกระเพาะอาหาร
หน้าที่ของกระเพาะอาหาร มีดังนี้ เป็นที่เก็บสะสมอาหาร เป็นอวัยวะย่อยอาหาร ลำเลียงอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กในอัตราที่พอเหมาะ สร้างสาร Intrinsic Factor (IF) ควบคุมกการดูดซึมวิตามิน B12 ที่ลำไส้เล็ก เพื่อใช้ในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

35 การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร
การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร มี 2 วิธี ดังนี้ 1. การย่อยเชิงกล เมื่อก้อนอาหาร (Bolus) จากหลอดอาหารตกถึงกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะมีการเคลื่อนไหวแบบคลื่นคลุกเคล้าอาหาร (Tonic Contraction) เพื่อให้อาหารผสมกับน้ำย่อย และมีการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างแรงมากเป็นช่วงๆ (Peristalsis) เพื่อดันให้อาหารเคลื่อนลงสู่ส่วนล่างของกระเพาะอาหาร 2. การย่อยทางเคมี โดยใช้เอนไซม์ที่สร้างขึ้นจากต่อมในกระเพาะอาหาร

36 สารและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยในกระเพาะอาหาร
1. HCl มี pH อยู่ระหว่าง 2. Pepsinogen เป็น Proenzyme ต้องได้รับ HCl จึงเปลี่ยนเป็นเพปซิน (Pepsin) สำหรับย่อยโปรตีนเป็นเพปไทด์ ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโน 4-12 โมเลกุล 3. Prorennin เป็น Proenzyme ต้องได้รับ HCl จึงเปลี่ยนเป็นเรนนิน (Rennin) สำหรับย่อยโปรตีนในน้ำนม 4. Lipase สร้างขึ้นในปริมาณน้อยมาก เพราะสภาพเป็นกรดของกระเพาะอาหาร 5. Gastrin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเซลล์ในกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่กระตุ้นให้ Parirtal Cell หลั่ง HCl ออกมา

37 การทำงานของกระเพาะอาหาร
การทำงานของกระเพาะอาหาร แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1. Cephalic Phase เป็นระยะรับกลิ่น รส หรือนึกถึงอาหาร เส้นประสาท Vagus จากสมองจะกระตุ้นให้กระเพาะเคลื่อนที่และการหลั่งสาร 2. Gastric Phase เป็นระยะที่ก้อนอาหาร (Bolus) เข้าสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะเคลื่อนที่และการหลั่งฮอร์โมน Gastrin จากชั้นมิวโคซาจากชั้นของกระเพาะอาหาร ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่ง HCl ออกมารวมกับ Pepsinogen 3. Intestinal Phase เป็นระยะที่อาหาร (Chyme) ออกจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วน Duodenum เนื้อเยื่อมิวโคซาของ Duodenum จะหลั่งฮอร์โมน Secretin ออกมายับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Gastrin

38 5. ลำไส้เล็ก (Small Intestine)
ลำไส้เล็ก (Small Intestine) เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของทางเดินอาหาร อยู่ต่อจากกระเพาะอาหารกับลำไส้ใหญ่ มีความยาวประมาณ 7-8 เมตร ขดไปมาในช่องท้อง ผนังด้านในมีลักษณะเป็นปุ่มจำนวนมากยื่นออกมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมสารอาหารที่เรียกว่า วิลลัส (Villus) หรือ วิลไล (Villi) โครงสร้างภายนอกของลำไส้เล็ก แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. ดูโอดีนัม (Duodenum) 2. เจจูนัม (Jejunum) 3. ไอเลียม (Ileum)

39 Small intestine

40

41 โครงสร้างภายนอกของลำไส้เล็ก
โครงสร้างภายนอกของลำไส้เล็ก แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. Duodenum เป็นลำไส้เล็กส่วนต้น ยาวประมาณ เซนติเมตร รูปร่างเป็นตัวยู อยู่ต่อจากกระเพาะอาหาร เป็นบริเวณที่มีสารเคมีหลายชนิด เช่น Pancreatic Juice เป็นน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อน น้ำดี (Bile) สร้างจากตับ หลั่งออกมาจากกถุงน้ำดี ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดไขมันขนาดเล็ก (Emulsifying) Intestinal Juice เป็นน้ำย่อยที่สร้างจากกผนังลำไส้เล็กของดูโอดีนัม จัดเป็นส่วนที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นมากที่สุด 2. Jejunum เป็นส่วนที่ต่อจาก Duodenum ยาวประมาณ 2 ใน 5 หรือประมาณ 3-4 เมตร เป็นส่วนที่มีการดูดซึมอาหารมากที่สุด 3. Ileum เป็นลำไส้เล็กส่วนสุดท้าย ปลายสุดของ Ileum ต่อกับลำไส้ใหญ่มีขนาดเล็กและยาวที่สุดประมาณ 4.3 เมตร

42

43 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก มี 2 วีธี ดังนี้ 1. การย่อยเชิงกล 2. การย่อยทางเคมี 2.1 สารและเอนไซม์จากตับอ่อน 2.2 น้ำดีจากตับ 2.3 สารและเอนไซม์จากลำไส้เล็ก

44 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก มี 2 วีธี ดังนี้ 1. การย่อยเชิงกล ได้แก่ การหดตัวเป็นจังหวะ (Rhythmic Segmentation) ช่วยคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อย และช่วยไล่อาหารให้เคลื่อนไปตามทางเดินอาหาร Peristalsis เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารเป็นช่วง ๆติดต่อกัน ช่วยผลักหรือไล่อาหารให้เดินทางต่อไป

45 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก มี 2 วีธี ดังนี้ 2. การย่อยทางเคมี เป็นการย่อยที่ใช้สารเคมีหรือเอนไซม์จากอวัยวะส่วนต่างๆ 2.1 สารและเอนไซม์จากตับอ่อน โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3) มีฤทธิ์เป็นเบส ช่วยเปลี่ยนอาหาร (Chyme) ที่มีฤทธิ์เป็นกรดจากกระเพาะอาหารให้เป็นกลางหรือเบสอ่อน Amylase ทำหน้าที่ ย่อยแป้ง ไกลโคเจน หรือ เดกซ์ทริน ให้แตกตัวเป็นมอลโทส Lipase or Steapsin ทำหน้าที่ ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล และทำงานได้ดีที่ pH 8.0

46 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
2.1 สารและเอนไซม์จากตับอ่อน (ต่อ) Trypsinogen เป็นสารเคมีที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัยเอนเทอโรไคเนส (Enterokinase) จากผนังลำไส้เล็กเปลี่ยนเป็นทริปซิน (Trypsin) ก่อน จึงจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนได้ Chymotrypsinogen เป็นสารเคมีที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัยทริปซินเปลี่ยนเป็น Chymotrypsin ก่อน จึงจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนได้ Procarboxypeptidase เป็นสารเคมีที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัยทริปซิน หรือ เอนเทอโรไคเนส ตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนเป็น Carboxypeptidase ก่อน Carboxypeptidase ทำหน้าที่ย่อยโปรตีนตรงปลายสุดด้านหมู่คาร์บอกซิลเท่านั้น ไล่อาหารให้เดินทางต่อไป

47 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
2.2 น้ำดีจากตับ ไม่จัดเป็นเอนไซม์ แต่ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็น Emulsion โดยเกลือน้ำดี เพื่อให้ Lipase ย่อยไขมันได้ ข้อควรทราบ หน้าที่ของตับมีดังนี้ สร้างน้ำดี สะสมอาหารในรูปไกลโคเจน สำหรับใช้เมื่อร่างกายขาดแคลน กำจัดสารพิษ เช่น แอลกอฮอล์ เป็นต้น เป็นแหล่งสะสมวิตามิน A, B และD สร้างเม็ดเลือดขณะทารกอยู่ในครรภ์ แต่ภายหลังจะเป็นแหล่งทำลายเม็ดเลือดแดง

48 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
2.3 สารและเอนไซม์จากลำไส้เล็ก ได้แก่ เอนเทอโรไคเนส ช่วยเปลี่ยนทริปซิโนเจน และโพรคาร์บอกซิเพปทิเดสจากตับอ่อน ให้เป็นทริปซิน และคาร์บอกซิเพปทิเดส เอนไซม์ย่อยคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ Amylase , Maltase , Sucrase , Lactase เพปซิเดส (Pepsidase) มีหลายชนิด เช่น Aminopepsidase ซึ่งช่วยย่อยเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโนและเพปไทด์ขนาดสั้นลง Dipepsidase ซึ่งช่วยย่อยเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน เอนไซม์ไลเพส ช่วยย่อยไขมันให้เป็นกรดไขขมัน และกลีเซอรอล

49 การดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็ก
การดูดซึม (Absorption) เป็นกระบวนการนำสารอาหารโมเลกุลเดี่ยวที่ผ่านการย่อยแล้ว ซึ่งได้แก่ กลูโคส กรดอะมิโน กรดไขมัน และกลีเซอรอล ผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลำเลียงไปสู่ส่วนต่างๆทั่วร่างกาย การดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็ก ลักษณะของลำไส้เล็กเหมาะสมต่อการดูดซึมสารอาหาร ดังนี้ เป็นบริเวณที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ผนังชั้นในพับไปมา และมีปุ่มยื่นออกมา เรียกว่า Villus เรียงเป็นแถวคล้ายนิ้วมือจำนวนมาก และแต่ละวิลลัสจะมี Microvillus ยื่นออกมาอีกมากมาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสำหรับดูดซึมสารอาหาร ที่ผนังของ Villus ประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยสานกันเป็นร่างแห เพื่อรับสารอาหารโมเลกุลเดี่ยวพวกกลูโคสและกรดอะมิโน ส่วนแกนกลางของ Villus จะมีเส้นน้ำเหลืองฝอย (Lacteal) เพื่อรับสารอาหารพวกกรดไขมันและกลีเซอรอล

50

51 6. ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine)
ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine) มีความยาวประมาณ 1.5 m ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1. ซีกัม (Caecum) ติดกับ Ileum ตอนปลาย จะมีไส้ติ่ง (Vermiform Appendix) อยู่ 2. โคลอน (Colon) เป็นรูปตัวยูคว่ำ มีความยาวมากที่สุด แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 2.1 โคลอนส่วนขึ้น (Ascending Colon) มีความยาวประมาณ 20 cm 2.2 โคลอนส่วนขวาง (Transverse Colon) มีความยาวประมาณ 50 cm 2.3 โคลอนส่วนลง (Descending Colon) มีความยาวประมาณ 30 cm 2.4 โคลอนส่วนปลาย (Sigmoid Colon) 3. ไส้ตรง (Rectum) เป็นส่วนที่ต่อจาก Sigmoid Colon มีความยาวประมาณ cm ปกติจะเป็นส่วนที่ว่างเสมอ ถ้ากากอาหารลงมาในไส้ตรงจะกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่หดตัว ขับกากอาหารออกทางทวารหนัก 4. ทวารหนัก (Anus) มีความยาวประมาณ cm อยู่ส่วนปลายสุด รอบๆ จะมีกล้ามเนื้อหูรูด (Sphincter Ani) ทั้งภายในและภายนอก

52 Large Intestine

53 Large Intestine

54 หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ มีดังนี้ ข้อควรทราบ
1. ดูดน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ (Na+, K+) และน้ำตาลกลูโคสที่เหลือค้างอยู่ในกากอาหารกลับเข้าสู่เส้นเลือดฝอย 2. รับและเก็บกากอาหาร 3. สร้างน้ำเมือกจากผนังด้านใน 4. เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียหลายชนิดที่ทำประโยชน์และไม่เกิดโทษ เช่น แบคทีเรียที่ช่วยสังเคราะห์วิตามิน B12 และวิตามิน K เป็นต้น ข้อควรทราบ ถ้ามีเชื้อโรคเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ จะทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำกลับสู่เลือดไม่ได้ ทำให้เกิดโรคท้องเดิน (Diarrhea) ถ้ากากอาหารอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป จะถูกลำไส้ใหญ่ดูดน้ำออกมามาก ทำให้เกิดโรคท้องผูก (Constipation)

55

56 ACCESSORY ORGANS อวัยวะช่วยในการย่อยอาหาร ( ACCESSORY ORGANS )
1.  ตับ ( LIVER ) หลั่งน้ำดีช่วยในการย่อยไขมัน 2.  ตับอ่อน ( PANCREAS ) หลั่งน้ำย่อย และ NaHCO3

57 1. ตับ ( Liver ) ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย หนักถึง 1, ,600 กรัม มีสีแดงเลือดหมูอยู่ในช่องท้องใต้กะบังลมด้านขวา ตับแยกออกเป็น 2 พู คือ พูซ้าย และ พูขวา มีเส้นเลือดพอร์ทัล เวน (portal vein) และเส้นเลือดเฮพาติกอาร์เทอรี (hepatic artery) เข้าสู่ตับ และยังมีท่อน้ำเหลืองออกจากตับ ตับประกอบด้วยหน่วยย่อยๆจำนวนมากมาย เรียกว่า พูย่อยของตับ (lobule) พูย่อยของตับประกอยด้วยเซลล์ตับ (hepatic cell) เรียงต่อกันเป็นสายโดยยึดกันไว้ด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ระหว่างสายของเซลล์ตับ จะเป็นเส้นเลือดฝอย เรียกว่า ไซนูซอยด์ ผนังของไซนูซอยด์ จะมีฟาโกไซติกเซลล์ ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่า คุปพ์เฟอร์เซลล์ (kupffer ‘ s cell) ทำหน้าที่ กำจัดแบคทีเรีย สิ่งแปลกแปลมอื่นๆที่เข้าไปในตับ            

58 ถุงน้ำดี ( Gall bladder )
เซลล์ตับจะเป็นผู้ผลิตน้ำดี (bile) น้ำดีจะถูกลำเลียงมาตามท่อเล็กๆในตับจนรวมกันเข้าสู่ท่อใหญ่ที่เรียกว่า Common hepatic duct นำน้ำดีเข้าสู่ถุงน้ำดี ถุงน้ำดีเป็นถุงกล้ามเนื้อเล็กๆที่ฝังอยู่ในส่วนผิวด้านล่างของพูตับซีกขวา เป็นแหล่งที่พักและสะสมน้ำดี เมื่ออาหารผ่านเข้าสู่ ลำไส้เล็ก ถุงน้ำดีจะบีบตัว นำน้ำดีผ่านท่อซีสติก (cystic duct) และท่อคอมมอนไบล์ (common bile duct) ออกสู่ดูโอดีนัม           

59 น้ำดี ( Bile ) ส่วนประกอบของน้ำดีที่สำคัญ คือ เกลือของน้ำดี (bile salt) รงควัตถุ (bile pigment) และ Colesteral bile salt จำเป็นต่อการย่อย และการดูดซึมของไขมันทำให้หยดไขมันขนาดใหญ่เกิดemulsipication ซึ่งทำให้มีพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น เพื่อให้ lipase ทำการย่อยได้ เกลือของน้ำดีเมื่อเข้าสู่ดูโอดีนัม จะถูกดูดซึมกลับที่อิเลียม และถูกนำเข้าสู่เส้นเลือดกลับมายังตับ และนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก bile pigment ที่สำคัญ คือ บิลิรูบิน (bilirubin) และบิลิเวอร์ดิน (biliverdin) ซึ่งสร้างมาจากตับและม้ามจากการสลายโมเลกุล ฮีโมโกลบิน สาร 2 ชนิด ไม่มีบทบาทในการย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหาร แต่หากมีรงควัตถุเหล่านี้ไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายจะเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อนั้น เช่น สะสมที่สมองของเด็กแรกเกิดจะทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย เด็กอาจเป็นโรคปัญญาอ่อนได้ Colesteral เป็นสารสเตียรอยด์ที่ได้จากกระบวนการสร้างและหลั่งเกลือน้ำดี มีหน้าที่เกี่ยวกับการย่อย และการดูดซึมอาหารยังไม่แน่ชัด หากมีการสะสมคอเลสเทอรอลในถุงน้ำดีมาก อาจสร้างเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดีได้ และอาจไปอุดท่อน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้าสู่ดูโอดีนัมไม่ได้ น้ำดีจะแพร่เข้าสู่เส้นเลือดเกิดโรคดีซ่านขึ้นได้

60 ตับ (Liver) และถุงน้ำดี (Gall bladder)

61 Liver and Gall bladder

62 ความสำคัญของตับ ตับยังมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกายมาก เช่น
ทำลายเม็ดเลือดที่มีอายุมาก ทำลายเชื้อโรค และทำลายสารพิษต่างๆ ที่แปลกปลอมเข้าสู่เลือด เปลี่ยนแอมโมเนียให้เป็นยูเรียที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายเป็นแหล่งสะสมไกลโคเจนและควบคุมน้ำตาลในเลือด สร้างโปรตีนที่สำคัญ เช่น เอนไซม์ สร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว เช่น ไฟบริโนเจน โพรทรอมบิน ผลิตเซรุ่มโกลบูลิน เซรุ่มอัลบูมิน ผลิตวิตามินเอ จากแคโรทีน สะสมเหล็กทองแดง วิตามินเอ วิตามินดีและวิตามินบีสิบสองเป็นแหล่งผลิตเลือดของทารกในครรภ์ เป็นต้น

63

64 2. ตับอ่อน (pancreas) ตับอ่อน (pancrease) เป็นอวัยวะที่ยึดติดอยู่กับเยื่อมีเซนเทอรีตรงบริเวณส่วนโค้งของดูโอดีนัมตอนปลายล่างของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อและต่อมมีท่อ ต่อมมีท่อประกอบด้วยกลุ่มเซลล์เอพิทีเลียม ที่ชื่อว่า อะซินัส (acinus) ล้อมรอบช่องเล็กๆที่อยู่ตรงกลาง หรือล้อมรอบเซลล์ที่อยู่ตรงกลาง อะซินัส จะทำหน้าที่ผลิตเอนไซม์ และสารที่จำเป็น จากต่อมเหล่านี้จะมีท่อมาเปิดรวมกันเป็นท่อ แพนครีเอติก (pancreatic duct) ท่อนี้จะมาเปิดรวมกับท่อคอมมอนไบล์เป็นแอมพูลาออฟวาเตอร์นำเอนไซม์ เข้าสู่ดูโอดีนัม

65 Pancreas

66 Pancreas

67 ตับอ่อน (pancreas) ตับอ่อนผลิตของเหลววันละประมาณ 2 ลิตร ซึ่งประกอบด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) และเอนไซม์ต่าง ๆ โซเดียมไบคาร์บอเนต มีประโยชน์ทำให้ไคม์ในกระเพาะมีฤทธิ์เป็นกรดเปลี่ยนไปเป็นกลางเมื่อเข้าสู่ดูโอดีนัม จึงเป็นการช่วยป้องกันมิให้มิวโคซาของดูโอดีนัมเป็นอันตราย นอกจากนั้นยังควบคุมให้ pH อยู่ในระดับ 6 – 7 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะต่อการย่อยอาหารด้วยเอนไซม์จากตับ เอนไซม์ที่ผลิตจากอะซินัสของตับอ่อน เอนไซม์บางชนิดของตับอ่อนอยู่ในสภาพที่ไม่กัมมันต์ ทั้งนี้เพื่อมิให้ย่อยเซลล์ของตับอ่อนเอง เช่น Trypsinogen Chymotrypsinogen procarboxypeptidase           

68 ตับอ่อน (pancreas) เอนไซม์ทั้ง 3 ชนิด เมื่อเข้าสู่ดูโอดีนัมจะเปลี่ยนสภาพเป็นรูปกัมมันต์โดยมีเอนไซม์เอนเทอโรไคเนส (enterokinase) ของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ เปลี่ยนทริปซิโนเจน เป็น ทริปซิน ทริปซินจะเปลี่ยนไคโมทริปซิโนเจนให้เป็นไคโมทริปซิน เปลี่ยนโพรคาร์บอกซิพอลิเพปทิเดส ให้เป็นคาร์บอกซิพอลิเพปทิเดส ตับอ่อนยังสร้างตัวยับยั้งทริปซิน (trypsin inhibitor) เพื่อทำหน้าที่ป้องกันการเกิด ทริปซิน และกระตุ้นให้เอนไซม์อื่นๆให้ทำงาน หากท่อตับอ่อนท่อใด อุดตัน ตัวยับยั้งทริปซิน จะไม่สามารถยับยั้งการเกิดทริปซินในตับอ่อน จึงทำให้มีทริปซินในปริมาณสูงมากจึงกระตุ้นเอนไซม์ในตับอ่อนให้ย่อยสลายเนื้อเยื่อของตับอ่อนเอง เกิดอาการตับอ่อนอักเสบโดยเฉียบพลัน (acutepancreatitis) หากเกิดเส้นเลือดในตับอ่อนถูกทำลายจะเกิดการตกเลือดในตับอ่อน จนเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้  สารอาหารเกือบทุกชนิดรวมทุกวิตามินหลายชนิดจะถูกดูดซึมที่ดูโอดีนัม สารอาหารพวกไขมันจะถูกดูดซึมที่เจจูนัม วิตามิน B12 และเกลือของน้ำดีจะถูกดูดซึมที่อิเลียม          

69 pancreas / gall bladder - gallstone

70 gallstone

71 ดีซ่าน (Jaundice)

72 ทางเดินอาหารของนักเรียนยาวเท่าไร ?
ความสูงของตัวนักเรียน = ……… cm   คำนวณความยาวจากปากถึงลำไส้เล็กส่วนบน ( ถ้าปาก = 10 cm หลอดอาหาร 25 cm กระเพาะอาหาร = 15 cm )   คำนวณความยาวของลำไส้เล็ก ( ส่วนสูงของนักเรียน X 3 )                                             คำนวณความยาวของลำไส้ใหญ่ ถึงทวารหนัก ( ส่วนสูงของนักเรียน + 5 cm )                                          รวมความยาวของทางเดินอาหาร ……….. cm  

73 Reference http://www.ipst.ac.th/biology/vol4.html

74 Thank you Miss Lampoei Puangmalai Department of science
Major of biology St. Louis College Chachoengsao

75 คน (Human)

76 คน (Human)

77

78 These are all organ systems of our body.
1.ระบบผิวหนังหรือระบบห่อหุ้มร่างกาย ( Integumentary system ) 2.ระบบกระดูก ( Skeletal system ) 3.ระบบกล้ามเนื้อ ( Muscular system ) 4.ระบบย่อยอาหาร ( Digestive system ) 5.ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ( Urinary system ) 6.ระบบหายใจ ( Respiratory system ) 7.ระบบไหลเวียนโลหิต ( Vascular system ) 8.ระบบประสาท ( Nervous system ) 9.ระบบสืบพันธุ์ ( Reproductive system ) 10.ระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine system ) )


ดาวน์โหลด ppt บทที่ 5 ระบบย่อยอาหารและ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google