งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

ศิลปะการแต่งกาย เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "ศิลปะการแต่งกาย เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 ศิลปะการแต่งกาย เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ

2 การแต่งกายนั้นนอกจากจะทำให้เราดูสวยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนเราอีกด้วย ดังคำโบราณที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” หรือ “แต่งกายดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” การแต่งกาย สวยหรือแต่งกายดีเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน และ แสดงถึงอุปนิสัย การศึกษา ฐานะความเป็นอยู่ และรสนิยม เราจึง ควรศึกษาหาความรู้ในการแต่งตัวให้สวย เหมาะสมกับวัย รูปร่าง หน้าตา และกาลเทศะ การแต่งกายของคนเรายังขึ้นอยู่กับอาชีพ การ ทำงาน และแบบแผนในการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล ดังนั้น ผู้แต่ง ต้องดูแฟชั่น และกระแสของค่านิยมพอสมควร แต่ต้องพิจารณา ตัวเองด้วยว่าเหมาะกับแฟชั่นเหล่านั้นหรือไม่

3 การแต่งตัวให้เหมาะสมกับอายุ
วัยรุ่น อายุระหว่าง 13 – 19 ปี เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของ ร่างกายทุกส่วน ในวัยนี้มักจะเกิดปัญหาเรื่องสิว และขนที่เกิดขึ้น บริเวณต่าง บางครั้งอาจมีปัญหาผิวหน้าตกกระจึงต้องระวังไม่ให้ ถูกแสงแดดมากเกินไป การแต่งกายสำหรับวัยรุ่น ไม่ควรใช้ เครื่องสำอางมากนัก อาจใช้เฉพาะแป้ง ลิปสติก ก็เพียงพอ เนื่องจากวัยนี้จะมีผิวพรรณสดใสดูงามตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าใช้เครื่องสำอางมากไป ก็อาจทำให้ไขมันอุดตันบนใบหน้า และ เกิดปัญหาเรื่องสิวตามมา ดังนั้นจึงควรแต่งตัวให้ใกล้เคียง ธรรมชาติและรักษาความสะอาดผิวพรรณ ลักษณะเสื้อผ้าผันแปร ไปตามแฟชั่นให้ดูน่ารักสดใส มีชีวิตชีวา

4 อายุ 20 – 29 ปี บางคนอาจมีปัญหาเรื่องผิวที่เกิดขึ้น เพราะขาดการดูแลรักษาผิวที่ถูกต้อง หรือใช้เครื่องสำอาง ที่ไม่เหมาะสมกับวัย ปัญหาที่พบในวัยนี้ได้แก่ ผิวหน้าตก กระ จึงต้องเอาใจใส่บำรุงผิวให้สะอาด และใช้ เครื่องสำอางให้เหมาะสม หลักการแต่งกายของวัยนี้ คือ การแต่งกายให้เป็นสมวัย ดูสวยงามมีเสน่ห์ โดยจะเลือก แบบเก๋หรือแบบเรียบง่ายก็ได้ตามความชอบของแต่ละ คน

5 อายุ 30 – 39 ปี วัยนี้มีปัญหาเรื่องผิวแห้ง เนื่องจากผิวหนังขาด การบำรุง ซึ่งอาจทำดูแก่ก่อนวัยหรือมีสิวมาก มีริ้วรอยบนใบหน้า และเกิดถุงใต้ตาทั้งสองข้างเป็นรอยดำ หลักการแต่งกาย คือ แต่ง กายให้ดูอ่อนกว่าวัยเล็กน้อย แต่ให้ดูสมกับวัย รักษารูปร่าง อย่าให้ มีน้ำหนักมากเกินไป ต้องเน้นการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ อายุ 40 – 49 ปี ผู้ที่มีอายุในวัยนี้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผิวหนังมักเริ่ม สูญเสียความสดชื่นเต่งตึงและความนุ่มนวลไป ผิวจะเริ่มหยาบ กร้าน หลักการแต่งกายคือ บำรุงผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางประเภท บำรุง ให้ความชุ่มชื้น แต่งกายอย่างมีรสนิยม โดยยึดหลักความสง่า งาม ความภูมิฐาน

6 อายุ 50 ปี ขึ้นไป คนที่มีอายุเข้าวัยนี้ร่างกายเริ่มมีการ เปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหยี่ยวย่น มีรอยตีนกา รอยย่นบน หน้าผากเด่นชัด แก้มตอบ ใบหน้าอาจเป็นฝ้า มีริ้วรอย มุมปาก ตก หลักการแต่งกาย คือ พยายามควบคุมน้ำหนัก อย่าให้อ้วน จนเกินงาม แบบผม การแต่งหน้า สีสันในการแต่งตัว ต้อง พิถีพิถันให้ดูสง่างามสมวัยหรืออ่อนกว่าวัยไว้เล็กน้อย ดูแล สุขภาพและผิวพรรณให้มากขึ้น แต่งหน้าให้อ่อนลง เพราะแต่ง เข้มจะยิ่งทำให้แก่ ควรใช้รองพื้นกลบเกลื่อนรอยต่าง ๆ

7 การแต่งกาย การแต่งกายนอกจากจะใช้เสื้อผ้าปกปิดร่างกายและ ป้องกันความหนาวความร้อนแล้วเสื้อผ้ายังมีผลต่อผู้สวม ใส่อีกหลาย ๆ ด้าน เช่นด้านจิตใจ ทำให้รู้สึกภูมิใจ พอใจ เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและการทำงาน ในด้านสังคม ทำให้เกิดความเป็นพรรคเป็นพวกเป็นระดับเดียวกัน

8 การแต่งกายเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ
มีข้อควรคำนึงถึงดังนี้ สีของเสื้อผ้า ดูแลรักษาง่าย ความสวยงาม ความสบาย ให้เหมาะสมกับฐานะ ความประหยัด

9 ขนาดรูปร่างและการแต่งกาย
รูปร่างสูง ควรสวมเสื้อผ้าหนา มากกว่าผ้าเบาบาง สำหรับคนตัวผอม ให้ใส่เสื้อแจกเก็ตพร้อมเสื้อตัวในที่มีการตกแต่ง บริเวณหน้าอก กางเกงที่มีจีบหรือกระโปรงที่มีจีบเป็นคลื่น สามารถใส่เสื้อและกางเกง หรือกระโปรงคนละสีได้ ระมัดระวังปลายแขนเสื้อไม่ยาวหรือสั้นกว่าข้อมือ กางเกงหรือกระโปรงควรมีความยาวพอเหมาะ เลือกเสื้อผ้าตาหมากรุก แถบขวางหรือลายดอกใหญ่ เน้นเส้นสายใน แนวนอน

10 สูทควรเป็นกระดุมสามเม็ด สีเข้มเสริมไหล่ เน้นรูปทรงแต่ไม่รัด ตัว ยาวพอประมาณ ปกเสื้อควรจะใหญ่ คอแบะ
ปมเนคไทค่อนข้างใหญ่ กางเกงขากว้างและขอบพับปลายขา รองเท้าแหลมเรียว พื้นบาง

11 2. รูปร่างเตี้ย สามารถทำให้ดูสูงได้โดยการเลือกเสื้อผ้าสีเดียวกันทั้งชุด หรือโทนสี เดียวกัน สูทสีเดียวกัน จะดีกว่าการแยกคนละสี อย่าแบ่งตัวเองออกเป็นสองท่อนไม่ว่าจะเป็นการใช้สี ลวดลายหรือสไตล์ ให้ใช้ผ้าเนื้อเรียบและแบบที่ประณีตเรียบร้อย เนื้อผ้าที่มีเส้นในแนวดิ่งหรือปราศจากลวดลาย สีอ่อน ถุงเท้ารองเท้าสำหรับผู้ชาย ก็ควรเป็นสีเดียวกับกางเกง สำหรับผู้หญิงการ เลือกถุงน่องและกระโปรงให้สีเข้ากัน กางเกงขายาวจะทำให้ดูสูงขึ้น ส่วนกางเกงขาสั้นจะทำให้ดูเตี้ย

12 2. รูปร่างเตี้ย รายละเอียดในการแต่งกายควรจะเรียบและมีขนาดเล็ก ๆ และควร จะมีการตกแต่งเฉพาะเสื้อผ้าท่อนบนเท่านั้น เสื้อผ้าตัวโต และหลวมมาก ๆ จะกลับทำให้ตัวเตี้ยลง กระเป๋าใบโต จะเน้นให้เกิดการเปรียบเทียบกับร่างกายที่เตี้ยมาก ขึ้น การดัดผมให้หยิกมากจะยิ่งทำให้ดูตัวเล็ก หลีกเลี่ยงรองเท้าเรียวเล็กส้นเตี้ยที่จะทำให้เท้าเล็กแหลม ควรหา รองเท้าที่ดูบึกบึน ส้นหนา รองเท้าที่ส้นสูงมากจะยิ่งทำให้ดูมี ร่างกายที่ไม่สมส่วน

13 3. รูปร่างผอมบาง คนรูปร่างผอมบางจะสามารถสวมเสื้อผ้าได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าที่มีแบบมาก ๆ หรือจีบมาก ๆ ควรเลือกสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สีอ่อน ๆ เช่นสีครีม หรือสีน้ำตาล อ่อน สามารถใช้ผ้าที่มีเนื้อผ้ามันวาว เพื่อทำให้ดูตัวโตขึ้น เนื้อผ้าควรมีความแข็งอยู่บ้าง เพื่อไม่ให้ผ้าทิ้งตัวลงไปจนดูเหมือน คนป่วย กางเกงขากว้าง ขาบาน กระโปรงบาน จะทำให้ดูดี ถ้าผอมมาก ๆ ให้หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดรูป และหลีกเลี่ยงกระเป๋าที่ดู หนักและหนา

14 4. รูปร่างอ้วนท้วม ควรเลือกผ้าที่เนื้อพลิ้วดีกว่าผ้าหนาที่จะทำให้ดูยิ่งอ้วนขึ้น ผ้าลายหยัก หรือเส้นยาวแนวดิ่งเหมาะกว่าเนื้อผ้าดอกดวงใหญ่ เลือกเนื้อผ้าเนียนเรียบ เพื่อข่มก้อนไขมัน รายละเอียดของเสื้อมีแนวเส้นตั้ง ผ้าลายเส้นหรือคอตัววี และขอบ เอวชายเสื้อที่เป็นสามเหลี่ยมหัวลง สีเย็นและสีเข้ม จะทำให้ตัวเล็กลงและดูผอมลง ควรหลีกเลี่ยง เสื้อสูทที่พอดีตัว โดยมีสายคาดจะสร้างภาพลวงตา ให้ดูมีเอวโตขึ้นเห็นเด่นชัด

15 ควรพยายามดึงความสนใจออกจากบริเวณที่มีไขมันมาก ผู้หญิงควรใส่เสื้อเอวต่ำเพื่อพรางหน้าท้องที่ยื่นออกมา ผู้หญิงที่ สะโพกโตอาจทำให้ร่างกายสมดุลได้โดยการหนุนไหล่เสื้อ เพื่อให้สะโพกดูเล็กลง กางเกงไม่ควรมีขอบพับปลายขา กางเกงขาแคบ จีบบริเวณเอว จะช่วยให้ลุกนั่งได้สะดวกสบายและเน้นความยาวของช่วงขา หลีกเลี่ยงเสื้อคับ เสื้อผ้าสีสดใส สวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มจะข่มตัวให้ เล็กลง รองเท้าควรเลือกแบบเรียบ ๆ

16 ความรู้เรื่องผ้า ผ้าแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน การเลือกซื้อจึงต้อง คำนึงถึงความเหมาะสมหลาย ๆ ประการ ผ้าป่านหรือผ้าลินิน สามารถระบายความร้อนได้ดี ทำให้ สวมใส่แล้วเย็นสบาย ผ้าฝ้าย สามารถดูดซึมและระบายความชื้นได้ดี มีความ คงทนซักรีดได้ง่าย ผ้าไหม ระบายความร้อนได้ไม่ค่อยดีรักษาความอบอุ่นให้ ร่างกายได้มากกว่า

17 ผ้าไหมเทียม ไม่ทนทานเหมือนไหมแท้ สวมใส่แล้วเย็นสบาย
ผ้าไนล่อนและใยสังเคราะห์ (Polyester) น้ำหนักเบา ซักแล้วแห้งง่าย ไม่ต้องรีดแต่ไวไฟถ้าถูกความร้อนเส้นใยเป็น ริ้วย่นรีดให้เรียบดังเดิมไม่ได้ ผ้าสำลี ให้ความอบอุ่นได้ดี รักษายาก ติดไฟง่าย ผ้าขนสัตว์ ราคาแพง มีน้ำหนักมาก เส้นใยมีลักษณะหยาบ เมื่อสวมใส่มักคัน เก็บความร้อนจากร่างกายผู้สวมใส่ได้ดี จึง นิยมใส่กันหนาว

18 ลายเส้นที่นำมาใช้กับเสื้อผ้า
จะพบได้ในแบบเสื้อส่วนต่าง ๆ เช่น คอเสื้อ ปก แขนเสื้อ ชายเสื้อ ชายประโปรง ตะเข็บ ลวดลายต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในผ้า เส้นตั้ง ดึงสายตาให้มองขึ้นลงในแนวดิ่ง ทำให้ผู้สวมใส่มองดู สูงขึ้น เพรียวขึ้น เส้นนอน ดึงสายตาให้มองเป็นทางยาวไปตามแนวนอน ทำ ให้ผู้ที่สวมใส่ที่ส่วนที่สวมใส่มองดูกว้างออก เส้นเฉียง หรือเส้นทแยง ดึงสายตาให้เบี่ยงเบนจากแนวนอน ไปตามแนวเฉียงของเส้นไม่ทำให้ดูกว้างออก หรืออ้วน

19 สูท สูทเป็นเครื่องแต่งกายที่ส่งเสริมให้ผู้สวมใส่เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี ดังนั้นการจะเลือกสูทควรยึดถือหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. จุดเด่นของเสื้อสูท ประกอบด้วยคอปก กระเป๋า และลักษณะ การผ่าหลังตัวเสื้อ รายละเอียดจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เช่น 1.1 คอปก เป็นส่วนซึ่งบ่งบอกแฟชั่นและรสนิยมของสูทได้ เป็นอย่างดี แต่ควรมีขนาดได้สัดส่วนกับตัวเสื้อ

20 1. 2 กระเป๋า ฝาปิดกระเป๋าควรมีขนาดได้สัดส่วนกับคอปกเสื้อ 1
1.2 กระเป๋า ฝาปิดกระเป๋าควรมีขนาดได้สัดส่วนกับคอปกเสื้อ 1.3 การผ่าหลังตัวเสื้อ เสื้อสูทอาจมีการผ่ากลางด้านหลัง (สไตล์ อเมริกัน) หรือผ่าข้าง (สไตล์ยุโรป) สูทที่ไม่มีการผ่าจะเป็นสูทที่มีแบบไม่เหมาะสม เพราะเมื่อผู้ใส่ ล้วงกระเป๋าหรือนั่งจะทำให้เกิดรอยยับบนตัวเสื้อ การผ่าหลังจึงเป็น เทคนิคการออกแบบเพื่อทำให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวได้คล่องตัว สูท ผ่าข้าง (สองข้าง) พรางตาให้ผู้ใส่แลดูเป็นคนตัวสูงขึ้น เพราะรอยผ่า นั้นจะทอดตัวยาวขนานกับความยาวของท่อนล่าง ผู้ที่มีบั้นท้ายใหญ่ ไม่ควรใส่สูทผ่าข้าง เพราะรอยผ่าที่แยกจากกันจะเน้นให้เห็นบั้นท้าย ให้ดูใหญ่มากกว่าเดิม ควรใส่สูทชนิดผ่ากลาง รอยผ่าควรมีความยาว ถึงระดับกระเป๋าเสื้อด้านหน้า หรือประมาณ 7- 9 นิ้ว

21 2. ประเภทของสูท มีให้เลือกมากมาย เราควรพิจารณาให้ เหมาะสมกับรูปร่างและโอกาสที่จะสวมใส่ ดังนี้ คือ
2.1 สูทแล็ค ตัวเสื้อตัวหลวมโคร่ง ส่วนไหล่แคบ กระเป๋ามี ฝา ด้านหลังผ่ากลาง ด้านหน้าติดกระดุมแถวเดียว 3 หรือ 4 เม็ด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซ่อนรูปร่างที่ไม่สมส่วนให้พ้น สายตาของผู้อื่นได้ แต่ถ้าใส่สูททรงหลวม ๆ ก็จะมีผลให้ผู้สวม ใส่แลดูขาดเอกลักษณ์ของตนได้

22 2.2 สูทกระดุมแถวเดียวสไตล์ยุโรป เป็นสูทที่ใช้เส้นกระดุมเน้น รูปร่างผู้สวมใส่ สูทประเภทนี้จะมีการหนุนไหล่ยกสูงขึ้น โคนแขน เสื้ออยู่ระดับสูง ตัวเสื้อรัดให้เห็นรูปร่าง ด้านหน้าติดกระดุมแถว เดียว 2 เม็ด ด้านหลังไม่ผ่า กางเกงค่อนข้างรัดรูปเน้นบริเวณต้นขา และสะโพก สูทประเภทนี้ผู้ใส่แลดูสง่างามและเป็นการเป็นงาน ทั้ง ยังทำให้แลดูผอมกว่าความเป็นจริงอีกด้วย 2.3 สูทกระดุมแถวเดียวสไตล์อเมริกัน คนอเมริกันชอบการแต่ง กายสบาย ๆ สูทสไตล์อเมริกันมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างสูท แล็คและสูทสไตล์ยุโรป คือ รัดรูปบริเวณเอว กระดุมแถวเดียว 2 เม็ด และคอปกยาวเพื่อเน้นให้ดูเข้ากับรูปร่าง

23 2.4 สูทกระดุม 2 แถว โดยทั่วไปแล้วสูทกระดุมสองแถว เหมาะกับคนรูปร่างทุกประเภท ยกเว้นคนที่มีสะโพกใหญ่ มากเกินไปเท่านั้น คอปกสูทชนิดนี้มักมีรังกระดุมประดับไว้ เพื่อเพิ่มความสมดุลให้กับตัวเสื้อ 2.5 สูทสปอร์ต ปัจจุบันผู้ชายมักนิยมมีสูทสปอร์ตไว้ใช้อย่าง น้อยหนึ่งตัว เพราะสามารถใช้สวมใส่ได้หลายโอกาส เช่น ใส่ เข้าสังคมคนกันเอง หรือใส่เพื่อลดความเครียดขณะเจรจา ธุรกิจ

24 อุปกรณ์ประกอบเสื้อผ้า
รองเท้า จะต้องสวมใส่สบาย เพราะต้องสวมใส่ทั้งวัน เวลายามบ่ายจึงเหมาะที่สุดใน การเลือกซื้อรองเท้า เพราะเป็นช่วงที่เท้าบวมขยายใหญ่ รองเท้าที่จะใส่ไปทำงาน ควรมีอย่างน้อยสองคู่เพื่อใส่สับเปลี่ยนกัน จะช่วย ยืดอายุรองเท้าให้ทนทาน อย่าเลือกรองเท้าล้ำยุคตามสมัยนิยม ควรเป็น แบบเรียบ ๆ รองเท้าหนังจะทนทานและสวยงามมากกว่าวัสดุอื่น สีของรองเท้าจะต้องรับ กับสีของเครื่องแต่งกาย รองเท้าชายควรเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือสีหนังอ่อน หญิงสามารถเลือกสีรองเท้าได้มากกว่า รองเท้าจะต้องขัดจนเป็นเงาวับ ส้นจะต้องไม่สึกหรือเผยอ รองเท้าขมุกขมัว หรือส้นบิ่นจะแสดงถึงความไม่ใส่ใจ

25 ถุงน่องถุงเท้า ถุงเท้าผู้ชายจำเป็นต้องสีเข้มและสูงถึงกลางน่อง ส่วน ถุงน่องสำหรับสตรีควรเลือกสีอ่อนที่เข้ากับผิวเนื้อ เข็มขัด สำหรับผู้ชายควรจะทำด้วยหนังสีของเข็มขัดจะต้องเข้ากับสี ของรองเท้า ซึ่งก็หมายถึงว่าต้องกลมกลืนไปกับสีของเครื่องแต่งกาย ส่วนผู้หญิงอาจจะถือว่าเข็มขัดเป็นเครื่องประดับตามสมัยนิยมอย่าง หนึ่ง เข็มขัดสตรีจะต้องทำด้วยหนังหรือผ้าเนื้อเดียวกับชุด ถ้าหากเป็นคน เอวสั้นควรจะเลือกเข็มชัดหนังเส้นเล็ก หรือเข็มขัดผ้าเนื้อเดียวกับชุด หากเป็นคนเอวยาวก็สามารถใช้เข็มขัดเส้นโตได้ แต่อย่าปล่อยให้เข็ม ขัดข่มเครื่องแต่งกาย

26 เนคไท เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของเครื่องแต่งกายชายที่ ครบถ้วนสมบูรณ์ เนคไทที่ผูกคอแต่ละคนนั้นมีอิทธิพล อย่างมาก ในการช่วยสร้างหรือทำลายภาพพจน์คนใส่ได้ ถ้าเลือกสีและแบบได้ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้ใบหน้า สดใส สร้างความคลาสสิคในการแต่งกาย ในขณะเดียวกัน ถ้าเลือกใส่ไม่เข้ากับรสนิยมแล้วผลก็ออกมาจะกลบราศีคน ใส่ให้หม่นหมองด้อยบุคลิกไปทันที

27 ก. วิธีการเลือกเนคไท ในต่างประเทศผู้ที่ซื้อเนคไทมักจะเอาสูทและเสื้อเชิ้ตไปลองเทียบหน้า กระจกดูด้วยว่าเข้ากันได้หรือไม่ ทำให้มั่นใจได้ว่าซื้อไม่ผิดแน่นอน เพราะเนคไทจะดูดีหรือไม่มิได้อยู่ที่ตัวไทเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้อง ให้เข้าคู่กับสูทและเสื้อเชิ้ตด้วย ดังนั้นถ้าจะซื้อครบชุด อันดับแรกควร ซื้อสูทก่อน แล้วค่อยเลือกเนคไทเป็นอันดับต่อมาจากนั้นจึงซื้อเสื้อเชิ้ต เป็นอันดับสุดท้าย หลักการเลือกเนคไทต้องพิจารณาคุณสมบัติ 5 ประการ คือ แบบ สี เสื้อผ้า ความกว้าง และความยาวของเนคไท มิฉะนั้นแล้วจะไม่คุ้มค่า เงินที่เสียไป บางคนซื้อเนคไทมาแล้วทิ้งไว้เปล่าเพราะใส่แล้วดูไม่ดี เลย

28 ข. ความยาวของเนคไท ความยาวของเนคไทควรผูกให้ยาวลงมาตรง หัวเข็มขัด ค
ข. ความยาวของเนคไท ความยาวของเนคไทควรผูกให้ยาวลงมาตรง หัวเข็มขัด ค. วิธีการผูกไทให้ดูสวย จะต้องให้เนคไทอยู่กลางปกพอดี ปมเนคไท จะต้องมีขนาดพอเหมาะกับใบหน้าคนผูกด้วย ถ้าคนหน้าค่อนข้างกว้าง ควรผูกปมไทใหญ่หน่อย ถ้าเป็นคนหน้าแคบปมเนคไทควรจะเล็ก เพื่อ ไม่ทำให้เด่นเกินใบหน้า ง. สีเนคไท การเลือกเนคไทที่มีสีเหมาะสมจะช่วยขับราศีใบหน้าดูเปล่ง ปลั่งหรือดูสุขุมยิ่งขึ้น ทำให้การแต่งกายดูลงตัว ถ้าเสื้อสูทกับเชิ้ตไม่เข้า คู่กันแล้ว อาจใช้เนคไทเป็นตัวกลางประสานให้สีของทั้งสองชิ้นไป ด้วยกันได้เป็นอย่างดี อาจไม่ใช่สีเดียวกันแต่เป็นโทนเดียวกันก็ได้

29 จ. เนื้อผ้าเนคไท เลือกเนคไทที่ทำด้วยวัตถุดิบมีคุณภาพ เพราะ นอกจากสีผ้าเนคไทจะสวยงามแล้ว เวลาผูกปมยังทำให้ดูดีกว่า เนคไทถูก ๆ ด้วย ฉ. ความกว้างของเนคไท ขึ้นอยู่กับแฟชั่นว่ากำลังฮิตไทแคบ หรือ ย้อนกลับไปหาไทใหญ่แบบสมัยก่อน สำหรับแบบที่กว้างไม่ควร เกิน 3 – 3.5 นิ้ว ข้อสำคัญต้องดูรูปร่างของผู้สวมใส่ด้วยถ้าเป็น คนร่างหนาช่วงอกกว้างควรใช้เนคไทหน้ากว้าง ถ้าเป็นคนร่างเล็ก ผอมก็เหมาะที่จะใช้เนคไทหน้าแคบลงมาให้สมกับร่างกาย

30 การวางท่าทางในอริยะบถต่าง ๆ
การนั่ง ท่านั่งที่ถูกสุขลักษณะและเป็นท่าทางที่ดีควรอยู่ใน ท่าทางดังนี้ ศีรษะตั้งตรง ลำตัวตรง กระดูกสันหลังเหยียดเต็มที่ ลำตัวกับขาอยู่ในลักษณะเป็นมุมฉาก ขาและเท้าทำมุมกันเป็นมุมฉาก ปลายเท้าทั้งสองไม่ห้อยหรือยกสูงเกินระดับมุมฉาก ให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด (ไม่เกร็ง)

31 ท่านั่งที่ผิด ไหล่ห่อออกมาข้างหน้า สันหลังโค้ง อกแฟบ ไหล่เอียง
ไหล่ห่อออกมาข้างหน้า สันหลังโค้ง อกแฟบ ไหล่เอียง ถ้านั่งผิดท่าบ่อย ๆ หลังจะงอและโก่งอย่างถาวร กระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่สะดวก

32 การยืน ยืดคอและศีรษะตั้งตรง ซ่อนคางและเก็บคาง
ท่ายืนที่อยู่ในลักษณะทรวดทรงที่ดี ควรอยู่ในลักษณะดังนี้ ยืดคอและศีรษะตั้งตรง ซ่อนคางและเก็บคาง ยืดและยกอกขึ้นไม่ทำตัว งอ หลังยืดตรง เก็บพุง (ไม่ปล่อยพุงตาม สบาย) ปล่อยไหล่ตามสบาย เท้าทั้งสองข้างห่างกัน เล็กน้อย แต่วางขนานกันให้ ปลายเท่าตรงไปข้างหน้า ปล่อยมือสบาย ๆ ให้น้ำหนักตัวลงบนเท้าทั้งสอง มิให้ตกลงในเท้าหนึ่งเท้าใด มากกว่ากัน

33 ท่ายืนเบื้องต้น ชาย ยืนในลักษณะสุภาพ ขาทั้งสองข้างชิดติดกัน หรืออยู่ใน ท่าพัก แขนปล่อยแนบลำตัว หรือจะประสานไว้ข้างหน้าเล็กน้อย เอียงข้างนิดหน่อยก็ได้ แขม่วท้อง ตามองตรงไปข้างหน้า (ไม่ก้มหน้า) คางขนานกับพื้น อกผายออก ไหล่ผึ่ง (ไม่ห่อไหล่) ศีรษะตั้งตรง หญิง วิธียืนที่สง่าจะทำให้มองดูขาสวยยิ่งขึ้น เท้าที่เป็นหลัก คือ เท้าหลังรับน้ำหนักตัวทั้งหมดเวลายืน เช่น ให้เท้าซ้ายเป็นหลักเท้า ซ้ายรับน้ำหนักตัวทั้งหมด เท้าขวาวางตรงอยู่ข้างหน้า โดยวางชิดกับ เท้าซ้ายในแนวเดียวกับตาตุ่ม โดยทำมุม 45 องศา กับเท้าซ้าย แขน แนบลำตัว หรือประสานไว้ข้างหน้าก็ได้ เอียงข้างนิดหน่อยก็ได้ แขม่ว หน้าท้อง ตามองตรง คางขนานกับพื้น อกผายไหล่ตึง ศีรษะตั้งตรง

34 การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ ควรยืนตรงและเฉียงกับลำตัวของผู้ใหญ่ ไปทางใดทางหนึ่ง ในท่าที่สำรวม คือ อาจจะยืนค้อมส่วนบน ตั้งแต่เอวขึ้นไปเล็กน้อย มือประสานไว้ข้างหน้า ข้อควรระวัง ขณะยืนอย่าแกว่งแขน หรือยืนถ่างขา หันหน้าไปมา ลุกลี้ลุกลน หรือในขณะที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋า เกาโน่นแกะนี่ ฯลฯ ท่ายืนที่ผิด ไหล่ห่อ ท้องยื่น เข่างอ ขากาง ปลายนิ้วชี้ออกนอก โดยตรวจสอบ ได้ที่ส้นรองเท้าว่าสึกบริเวณใดบ้าง

35 การเดิน ลักษณะท่าทางของทรวดทรงในการเดินนั้น ลำตัวให้รักษาอยู่ในท่า การนั่งเป็นสำคัญและควรจัดท่าทางดังนี้ ศีรษะและหน้าตั้งตรง เก็บคางเล็กน้อย ลำตัวยืดตรงแต่อยู่ในลักษณะสบาย ๆ ก้าวเท้าให้ปลายเท้าตรง ไปข้างหน้า โดยให้ตาตุ่มของเท้าก้าวให้เฉียดกับเท้าที่วาง (เพื่อ ไม่ให้กางขานั่นเอง) ก้าวเดินเสมือนเดินบนเส้นตรงสองเส้นขนานชิดกัน แขนแกว่งตามสบาย มือปล่อยตามสบาย

36 ข้อควรระวัง ถ้าเป็นคนน่องใหญ่ ควรเดินบังคับปลายเท้าเข้ามานิดหนึ่ง จะ ช่วยอำพรางความไม่สวยงามของน่องในขณะเดิน สำหรับหญิงขณะเดิน ควรระมัดระวังการแกว่งแขน และสะโพก ให้อยู่ในอริยาบถที่เป็นธรรมชาติ

37 ท่าเดินที่ผิด เดินเขย่งใช้แค่ปลายเท้าเหยียบพื้นแทบไม่ยอมลงส้นเลยและน้ำหนัก ตัวตกลงที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้าง เวลาเดินจ้ำพรวด ฉับ ๆ เดินยืดตัวตรงแหน็ว ยกหัวไหล่ เดินตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนเสา ไม่ยอม งอเข่า เดินเกร็งกล้ามเนื้อท่อนขาแถว ๆ ท้องน่องเดินลงส้นหนัก ๆ เพื่อแสดง ความมั่นคง แต่กลับทำให้เสียสมดุลของลำตัวเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ เดินโน้มศีรษะไปข้างหน้า เดินห่อตัว ไหล่ตก หลังโก่ง เดินงุด ๆ

38 เดินนวยนาดเนิบนาบ วาดท่าทางกรีดกรายอย่างไม่รีบร้อน สะโพกบิดไปตามจังหวะของฝีเท้าซึ่งก้าวสั้น ๆ
เดินก้มหน้าหาเศษสตางค์ เข่าทั้งสองข้าดูไม่มีเรี่ยวแรง ทรุดงอลง เล็กน้อย เดินจ้ำอ้าวอย่างกับหนีใครมา ลำตัวและหัวไหล่เอนไปข้างหน้า แนวสายตาไม่ขนานกับพื้นเฉียงตกลงข้างล่าง เดินเชิดหน้าเสยจมูกขึ้น แกว่งแขนและไหล่แบบทหาร เ เดินลุยน้ำไถฝ่าเท้าไปกับพื้น นาน ๆ ทีจะยกเท้าขึ้นสักครั้ง เดินแบบค่อย ๆ ย่องเหยียบพื้นอย่างแผ่วเบา

39 การดูแลส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย
การดูแลเส้นผม การแปรงผม การสระผม ทรงผม

40 การเลือกทรงผมให้เหมาะกับลักษณะรูปร่าง
ตัวสูง อย่าตัดผมสั้นจนเกินไป ควรจะไว้ผมยาวสักนิดเพื่อที่จะให้ สมดุลกับส่วนสูง ตัวเตี้ย อย่าเลือกทรงผมที่จะข่มรูปร่าง การไว้ผมยาวจะเน้นให้ เห็นว่าเตี้ยยิ่งขึ้น มีหน้าผากกว้าง เลือกทรงผมที่จะปิดหน้าผากด้านข้าง อย่าแสก กลางเพราะจะยิ่งทำให้หน้าผากดูกว้างขึ้น ทรงผมที่แสกข้างจะ ช่วยทำให้หน้าผากดูแคบลง มีหน้าผากแคบ ไว้ผมแสกกลางจะทำให้หน้าผากดูกว้างขึ้นได้

41 มีจมูกยาว อย่าเลือกทรงผมแสกกลาง เพราะจะยิ่งเน้นจมูก มากขึ้น
มีตาสวย ไว้ผมม้า เพื่อเน้นจุดเด่นที่ตา ผมม้าที่ตัดตรงเหนือ คิ้วจะทำให้ใบหน้าดูอวบอิ่มขึ้นด้วย มีรูปร่างผอม ไว้ผมด้านข้างให้หนา มีรูปร่างอ้วน ไว้ผมตรงกลางศีรษะให้หนา มีใบหน้าสี่เหลี่ยม ไว้ผมทรงที่ดูอ่อนโยน และควรจะดัด ด้วย

42 2. การดูแลฟัน 1. การแปรงฟัน
โดยปกติโรคฟันจะมี 2 ชนิด คือ โรคฟันผุ และโรคเหงือก ทั้งสองโรคนี้เกิด จาก พลัก (Plaque) ซึ่งเป็นคราบบางใสเหนียว เป็นที่อาศัยของ แบคทีเรีย การดูแลฟันทำได้ดังนี้ 1. การแปรงฟัน 2. การใช้ไหมขัดซอกฟัน ดีกว่าใช้ไม้จิ้มฟันเพราะไม่ทำให้ เหงือกเป็นแผล 3. การบ้วนปากและการใช้น้ำยาบ้วนปาก 4. การตรวจสุขภาพฟัน ควรให้ทันตแพทย์ตรวจฟันอย่างน้อยปี ละ 2 ครั้ง

43 3. การดูแลมือและการแต่งเล็บ
รักษามือและเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ ล้างมือบ่อย ๆ ในการล้างมือ ถ้าจำเป็นให้ใช้แปรงล้างเล็บขัดใต้เล็บ และตามซอกเล็บ ใช้โลชั่นหรือน้ำมันหรือครีม ทามือหลังการล้างมือ ถ้าต้องทำงานที่เป็นงานสกปรกเลอะเทอะ เช่น ล้างจาน ควรจะสวมถุงมือ

44 4. การดูแลผิวหนัง สภาพผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ผิวแห้ง ปกติผิวแห้งจะมีรูขุมขนเล็ก ผิวจะเป็นเกล็ดและค่อนข้าง หยาบและมีแนวโน้มที่แห้งแตกได้ง่าย หลังการอาบน้ำแล้วจะรู้สึกว่าผิว ตึง ตามผิวจะมีริ้วเล็ก ๆ ละเอียดโดยเฉพาะบริเวณรอบตา 2. ผิวมัน ผิวซึ่งมีน้ำมันมากเกินไป น้ำมันจะผุดขึ้นหลังจากล้างหน้า ได้ไม่นานนัก หรือหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ผิวประเภทนี้จะมีรูขุมขน ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจมูก และเป็นผิวที่เกิดสิวได้ง่าย 3. ผิวแบบผสม คือผิวที่มันในบางที่ แห้งหรือเป็นปกติในส่วนอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วคนที่มีผิวแบบผสมจะมีผิวมันในบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ส่วนผิวบริเวณอื่นก็จะมีลักษณะเป็นผิวแบบปกติและผิวแห้ง

45 ปัญหาผิวพรรณบนใบหน้า
สิว ฝ้า หน้าตกกระ มีริ้วรอย หรือแผลเป็น

46 การแต่งหน้า หลักทั่วไปของการใช้เครื่องสำอาง
ใช้เครื่องสำอางกับผิวที่สะอาดหมดจดเท่านั้น ทุกคืนก่อนนอน จะต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมดโดยใช้ครีม ล้างหน้า ตามด้วยน้ำกับสบู่ จะต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนใช้เครื่องสำอาง ไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องสำอางที่ใช้บริเวณตาหรือลิปสติก ควรจะรักษาอุปกรณ์การแต่งหน้า เช่น แปรง ฟองน้ำ ฯลฯ ให้ สะอาดหมดจดอยู่เสมอของที่ใช้แล้วทิ้ง เช่นสำลี ให้ใช้เพียงครั้ง เดียวเท่านั้น

47 วิธีการในการแต่งหน้าไปทำงาน
เครื่องสำอางที่ใช้โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ครีม รองพื้น สีปัดแก้ม เครื่องสำอางที่ใช้แต่งตา เช่น อายแชโดว์ มาสคารา อายลายเนอร์ ดินสอเขียนคิ้ว แป้ง และลิปสติก เครื่องสำอางเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพของคุณ ให้ดีขึ้น จึงจำเป็นต้องรู้ถึงการเลือกใช้และวิธีการใช้ เครื่องสำอางเหล่านี้ให้ถูกวิธี เพื่อเสริมบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

48 วิธีการใช้เครื่องสำอางเบื้องต้น
ให้จำไว้เสมอว่าสีอ่อนใช้กับส่วนที่ต้องการเน้น หรือให้ดูใหญ่ขึ้น ส่วนสีเข้มใช้กับส่วนที่ต้องการปกปิดหรือให้ดูเล็กลง 1. ครีมรองพื้น เป็นสิ่งแรกที่จะต้องใช้ เพราะจะทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน สีกลมกลืน เสมอกัน และจะช่วยอำพรางจุดบกพร่องบางอย่างบนใบหน้า ผู้หญิงที่ มีผิวเรียบดีไม่มีที่ติไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมรองพื้นใด ๆ เลย แต่คนส่วนใหญ่ไม่โชคดีเช่นนั้น ควรเลือกครีมรองพื้นให้สีกลมกลืนกับ สีผิวของเราที่สุด เวลาใช้ควรจะเกลี่ยให้ทั่วตั้งแต่บริเวณตีนผมลงมาจน เลยขากรรไกร เพื่อที่ไม่ให้เห็นขอบรองพื้นตัดกับสีผิวจริง

49 2. แป้ง ใช้แปรงขนาดใหญ่ หรือพัฟเกลี่ยแป้งบนใบหน้าทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วปัด ส่วนที่เกินออก 3. สีปัดแก้ม (บรัชออน) ใช้ขับโหนกแก้มให้ดูเด่นขึ้น อย่าใช้ตรงบริเวณใกล้จมูกและอย่าทาให้ ต่ำกว่าใต้จมูกลงมา 4. อายแชโดว์ ช่วยเน้นดวงตาให้เด่นขึ้น การแต่งหน้าไปทำงานควรเลือกอายแชโดว์สี อ่อน ซึ่งเข้ากันกับสีเครื่องแต่งกาย ไม่ควรใช้สีเข้มฉูดฉาด การทาอาย แชโดว์จะทาทั่วทั้งบริเวณตั้งแต่เปลือกตาจนถึงขอบคิ้วก็ได้หรือจะทา เพียงเส้นขอบตาเท่านั้นก็ได้

50 5. มาสคารา ช่วยให้ขนตาดูหนาและยาวขึ้น ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 2-3 เดือน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการเคืองตาได้ 6. อายลายเนอร์ ช่วยเน้นดวงตาให้ดูเด่นชัดและสวยขึ้น มีทั้งชนิดเป็นแท่งดินสอและชนิดน้ำ การแต่งหน้าไปทำงานควรจะใช้แต่น้อย และควรเลือกสีที่ไม่ฉูดฉาด  7. ดินสอเขียนคิ้ว ใช้สำหรับผู้ที่มีขนคิ้วบาง อย่าเขียนจนเห็นเส้นดินสอชัดเจนจนเกินไป ควรจะ เกลี่ยหรือเขียนให้เป็นเส้นสั้น ๆ เล็กๆ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ และอาจจะเสริม ด้วยการใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลปัดบาง ๆ ที่คิ้วอีกที เพื่อช่วยให้คิ้วดูเข้มขึ้น

51 8. ลิปสติก สีของลิปสติกไม่ควรขัดกับสีของชุดหรือขัดกับสีปัดแก้ม ควร พยายามใช้สีที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น สีชมพู สีสนิม และสีแดง ในการแต่งหน้าไปทำงานไม่ควรทาปากด้วยสีคล้ำจัด สีที่ไม่เป็น ธรรมชาติ หรือสีเหลือบ

52 โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะแต่งหน้าดีแค่ไหนในตอนเช้า ก็ยังต้องเติมในระหว่างวันด้วย เพราะฉะนั้นควรจะ พกพากระเป๋าเครื่องสำอางติดตัวเสมอ ในกระเป๋า ควรจะมีให้ครบทั้งเครื่องสำอางและอุปกรณ์ และ ขอให้ระลึกเสมอว่าการแต่งหน้าไปทำงานนั้นควรจะ เป็นแบบเรียบ ๆ การแต่งหน้าให้เปรี้ยวตามแฟชั่น นั้นควรใช้แต่งหลังเวลางานเท่านั้น

53 การแต่งหน้าให้เหมาะกับสีผิว
ผิวขาว และค่อนข้างขาว ควรระวังเรื่องการออกไปถูกแสงแดดจัด ใช้ ครีมบำรุง (มอยส์เจอไรเซอร์) แล้วใช้ครีมรองพื้นหรือแป้งที่มี UV ป้องกัน แสงแดด เน้นแต่งดวงตาด้วยอายเชโดว์โทนสีเข้ากับตา เช่นสีน้ำตาล สีเทา ใช้บรัชออนสีชมพู ลิปสติกควรใช้สีชมพู หรือแดงกุหลาบ จะช่วยให้ใบหน้า ดูเด่น สีผิวออกคล้ำ ควรใช้แป้งและรองพื้นสีเข้ากับผิวทาบาง ๆ ใช้บรัชออนสี อิฐหรือแดงเข้ม ใช้อายเชโดว์สีบรอนซ์ หรือสีออกน้ำตาล ลิปสติกควรใช้สี แดงหรือชมพูสดใส ควรหลีกเลี่ยงสีประกายมุกเพราะจะทำให้ดูปากหนา หรืออาจจะทาลิปมันอย่างเดียวก็ได้ สีเสื้อผ้าควรเลือกสีเข้ม เช่นสีอิฐ สี ทองแดง สีน้ำตาลทอง สีฟ้าเข้ม สีควันบุหรี่

54 3. สีแทนหรือน้ำผึ้ง ได้แก่ผู้ที่มีผิวสีน้ำตาล มักจะมีผมออกแดงหรือ น้ำตาลเข้มมักมีปัญหาเรื่องผิวตกกระได้ง่าย ใช้รองพื้นสีเดียวกับผิว ใช้ อายเชโดว์สีเทา ฟ้า เขียวหรือแดงคล้ำ ใช้บรัชออนสีชมพูหม่น ถึงแดงคล้ำ ลิปสติกใช้สีชมพูอมแดงหรือแดงเข้ม แดงออกน้ำตาล การเลือกสีของ เสื้อผ้า ควรใช้สีเข้ม เช่นสีส้มอมน้ำตาล สีทอง สีอิฐ สีฟ้าอมเทา หรือม่วง อมชมพู 4. สีค่อนข้างดำ ควรใช้แป้งหรือครีมรองพื้นแต่งหน้าให้สีเป็น ธรรมชาติที่สุด โดยเลือกสีเข้มที่ทาสำหรับคนผิวดำ ใช้บรัชออนทาแก้มสี ชมพูหรือสีทองแดง ลิปสติกใช้สีกุหลาบ สีเหล้าองุ่น เสื้อผ้าควรเลือกสี ค่อนข้างเข้ม เช่น สีทองแดง สีม่วงเข้ม สีม่วง สีออกส้ม สีทอง สีเหล้าองุ่น หรือสีทับทิม สีเขียวหม่น ไม่ควรใช้สีสดจนเกินไป

55 การแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้า
ใบหูใหญ่ ใช้ต่างหูหนีบขนาดใหญ่ หรือทำผมปิดหูไว้บางส่วน ใช้รอง พื้นสีเข้มทาที่ใบหู ใบหูกาง ทำผมปิดหูหรือผมดัด ยาวอย่างน้อยระดับหู อย่าไว้ผมเหยียด ตรงหรือลีบติดใบหู ใบหูเล็ก ทำผมเปิดหูได้ ต่างหูถ้าจะใช้ควรจะเป็นขนาดเล็กหรือแบบ ห้อยตุ้งติ้ง หน้าผากโหนกหรือสูง ใช้รองพื้นสีเข้มกว่าที่บริเวณใต้ขมับ เหนือ เปลือกตาและหน้าผาก จะช่วยให้บริเวณอื่นเด่นขึ้นมาพอดีกับหน้าผาก หรือไว้ผมม้า หรือผมเป็นลอนคลื่นที่หน้าผาก

56 หน้าผากแคบ ใช้รองพื้นสีอ่อนแต่งบริเวณใต้หน้าผาก ซอยผมเป็นชั้นลงมา ปิดบริเวณขมับ หรือหวีเสยขึ้น หลีกเลี่ยงการแสกกลาง จมูกใหญ่ ใช้รองพื้นสีเข้มทาจมูกจากบริเวณรูจมูกขึ้นมาถึงสันจมูก แล้วใช้ แป้งฝุ่นสีเข้มทับอีกครั้ง จมูกแบน หลังจากทารองพื้นปกติแล้ว ให้ทารองพื้นสีอ่อนตรงลงไปจากดั้ง จมูกจนถึงปลายจมูกแล้วใช้แป้งฝุ่นทาทับตามปกติ ตาเล็ก ถ้าอยากให้ตาดูโตขึ้น ควรใช้อายเชโดว์สีอ่อนเกลี่ยให้ทั่วเปลือกตา และเลยไปจรดใต้คิ้ว ทาอายเชโดว์สีพื้นบริเวณขอบตาค่อนไปทางหางตา เขียนเส้นเล็ก ๆ ใต้คิ้วด้วยอายเชโดว์สีน้ำตาลตั้งแต่หัวคิ้วจรดหางคิ้ว จะทำ ให้ดูตาโตขึ้น หรือใช้อายเชโดว์สองสี เช่นใช้อายเชโดว์สีน้ำตาลทาขอบตาที่ ติดกับขนตาส่วนเปลือกตาทาสีเนื้ออ่อน ๆ

57 ตาโปน ถ้าต้องการให้ดวงตาดูลึกลงไป ทาอายเชโดว์สีพื้นให้ทั่วเปลือกตาจนถึง รอยพับ แล้วแต้มสีอ่อนบริเวณใต้คิ้ว เกลี่ยให้กลมกลืน ตายาวรี ทาอายเชโดว์สีพื้นให้ทั่วเปลือกตา แล้วเกลี่ยเหนือบริเวณมุมหางตาให้ สูงกว่าบริเวณหัวตาเล็กน้อย เป็นการเน้นแนวเฉียงธรรมชาติของดวงตา ควรทา อายเชโดว์สีพื้นให้เลยรอยพับของเปลือกตาเล็กน้อยเช่นกัน และทาให้สุดถึงหัวตา ใกล้บริเวณสันจมูกด้วย จากนั้นแต้มสีอ่อนบริเวณใต้คิ้วลงมาจนถึงบริเวณที่เป็นสี พื้น แล้วเกลี่ยให้กลมกลืนไม่ให้เป็นรอยต่อ ปากบาง วาดรูปปากให้ล้ำขอบปากเดิมออกไป เพื่อทำให้ดูเต็มอิ่ม ควรใช้ลิปสติก สีอ่อน หรือสีสด หลีกเลี่ยงสีเข้มหรือคล้ำ ปากหนา ทำให้ดูบางโดยใช้รองพื้นทาลบรอยปากเดิม วาดขอบปากเข้ามาด้าน ในขอบปากจริง ใช้ลิปสติกสีธรรมชาติ เช่นสีกะปิ ชมพูอมน้ำตาล โกโก้ หลีกเลี่ยง สีอ่อน หรือสีประกายมุก หรือสีเข้มจัด

58 ริมฝีปากไม่เท่ากัน ใช้ลิปสติกสองสี แก้ไขโดยใช้สีเข้มทาริมฝีปากส่วนที่ เล็ก โดยวาดเกินขอบปากเดิม แล้วทาลิปสีอ่อน ส่วนริมฝีปากที่หนากว่าให้ วาดขอบปากตามแนวเดิมแล้วทาด้วยลิปสีเข้ม มุมปากตก จะทำให้ดูหน้าบึ้ง ควรแก้ไขด้วยการวาดเส้นขอบตรงมุมปาก ทั้งสองข้างเหยียดตรงออกไปเล็กน้อยแล้วจึงทาลิปสติกด้วยพู่กัน ริมฝีปากกว้าง ต้องใช้ลิปสติกสองสี เข้มและอ่อนช่วย สีที่ดีที่สุดคือ สีอม น้ำตาล หลีกเลี่ยงสีอ่อน สีสด สีเข้ม วาดริมฝีปากให้ต่ำกว่าแนวปากเดิม เล็กน้อย ทาลิปสติกสีอ่อนให้ทั่วแล้วทาทับด้วยสีเข้มเฉพาะบริเวณกึ่งกลาง ปาก ทั้งบนและล่าง โดยใช้พู่กัน

59 คางยื่น ใช้รองพื้นสีเข้มทาบริเวณคางใช้แป้งฝุ่นสีเดียวกันทาทับ
คางแหลม ใช้รองพื้นสีอ่อนทาบริเวณรอบคาง เกลี่ยให้กลืนกับใบหน้า ใช้ แป้งฝุ่นทาทับบริเวณคางอีกที ขากรรไกรเด่น ไว้ทรงผมที่ส่วนบนของศีรษะดูหนา หรือไว้เลยคางแล้ว ค่อย ๆ ไล่จากข้างหน้าสั้นไปด้านหลัง หลีกเลี่ยงผมม้า ตัดตรงเป็นแผง คอยาว ใช้รองพื้นสีอ่อนกว่าใบหน้าทาให้ทั่ว ทำผมเป็นพวงทั้งสองข้าง แก้ม ผมยาวปานกลางและตัดตรงจะช่วยอำพรางคอดีกว่าผมสั้นมาก ๆ คอสั้น แต่งด้วยรองพื้นสีเข้มกว่าที่ใช้ทาใบหน้า เลือกผมซอยเป็นช่วงเป็น ชั้น จะช่วยทำให้คอดูยาวขึ้น


ดาวน์โหลด ppt ศิลปะการแต่งกาย เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google