งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

ทฤษฎีของ Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวสก็อต กล่าวไว้ว่า

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "ทฤษฎีของ Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวสก็อต กล่าวไว้ว่า"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1

2 ทฤษฎีของ Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวสก็อต กล่าวไว้ว่า
PERSON OF THE YEAR By Lev Grossman ทฤษฎีของ Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวสก็อต กล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์ของโลกนั้น ที่แท้ก็คืออัตชีวประวัติผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนั่นเอง” Carlyle เชื่อว่าคนที่กำอำนาจไว้ในมือไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกมาถึงปีนี้ ทฤษฎีของ Thomas Carlyle กำลังเผชิญกับข้อโต้แย้งอันท้าทายเสียแล้ว มาดูกันว่าในปี 2006 ใครกันบ้างที่สมควรถูกโลกติฉิน อันเนื่องมาจากสิ่งที่เขาเหล่านั้นก่อกรรมไว้กับโลกหรือมีอิทธิพลต่อโลก เริ่มที่ปัญหาความขัดแย้งจนทำให้ผู้คนหลั่งเลือดล้มตายมากมายในอิรัก ความรุนแรงอันเลวร้ายที่ก่อขึ้นโดยอิสราเอลกับเลบานอน ไปจนถึงสงครามในซูดาน หรือผู้เผด็จการแห่งเกาหลีเหนือผู้ครอบครองอาวุธร้ายทำลายโลกไว้ในมือ หรือจะเป็นผู้นำอิหร่านที่ประกาศเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ ก็ด้วยอีกคน ในเวลาเดียวกันกับที่ไม่มีใครเลยที่จะสนใจเหลียวแลปัญหาอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น รวมไปถึงเรื่องราวของโซนี่ที่เข็นเครื่องเล่น play station 3 ออกมาขายดีเป็นเทน้ำเท่าต้องแย่งกันซื้อ จนไม่พอขาย แต่หากมองโลกในปี 2006 ทะลุผ่านเลนส์ที่แตกต่างไปจากเดิม คุณกลับมองเห็นอะไรอีกแบบหนึ่งที่ต่างไป เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้ง หรือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนไหนเลย แต่มันคือเรื่องราวของ “ชุมชนแห่งการมีส่วนร่วม” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือเรื่องราวของอาณาจักรแห่งความรู้ ที่รู้จักกันในนาม Wikipedia และ เครือข่ายโทรทัศน์ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนนับล้านๆคนทั่วโลกมีส่วนร่วมอย่าง YouTube รวมไปถึงมหานครแห่งโลกออนไลน์ที่รู้จักกันดีว่า MySpace มันคือเรื่องราวของปรากฏการณ์ การแย่งชิงเอาอำนาจมาจากเงื้อมมือผู้ยิ่งใหญ่ในโลกไม่กี่คน สิ่งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลก แต่มันยังเปลี่ยนวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งมวลในโลกอีกด้วย เครื่องมือสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นี้ก็คือ World Wide Web แต่หาใช่ web ที่ Tim Berners กับ Lee เคยคิดค้นไว้เมื่อ 15 ปีก่อนไม่ แล้วก็ไม่ใช่ผลผลิตจากยุคดอตคอมในช่วงทศวรรษที่ 90 ด้วยซ้ำไป แต่มันคือ Web ใหม่ที่แตกต่างไปอย่างมาก มันเป็นเครื่องมือที่นำมาพาความร่วมมือเล็กๆของผู้คนเป็นล้านๆคนมารวมเข้าไว้ด้วยกัน และทำให้เกิดเป็นอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา สิ่งที่บรรดาผู้คนจากซิลิกอน วัลเลย์เรียกมันว่า Web 2.0 แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวอร์ชั่นใหม่ บนซอล์ฟแวร์เดิมก็ตาม แต่มันคือการปฏิวัติอย่างแท้จริง และเราก็พร้อมแล้วสำหรับมัน เราสามารถสร้างสมดุลข่าวสารที่ย่อยแล้วจากแหล่งที่มาดั้งเดิมอันเป็นต้นตอของข่าวสารข้อมูลเหล่านั้นจากแบกแดด บอสตัน หรือจากปักกิ่ง คุณสามารถเรียนรู้วิถีแบบอเมริกันชนเพียงได้ดูภาพ Video จาก YouTobe ที่คุณจะได้เห็นห้องนอนที่แสนจะยับเยิน พื้นห้องที่รกไปด้วยของเล่นเกลื่อนกราด ในห้องที่ใช้บันทึกภาพมากกว่าที่คุณจะหาดูได้จากสถานีโทรทัศน์ทั่วๆไปมากกว่าเป็นพันๆชั่วโมง เราไม่เป็นเพียงแค่ผู้ชม แต่ยังสร้างภาพให้คนอื่นได้ดู บ้าแค่ไหนก็ได้ ตราบเท่าที่คุณต้องการ คุณจะเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆลงไปได้ คุณจะ(บ้าจนถึงกับ)เขียนถึงชีวิตใหม่ของคุณที่อวตารลงมา หรือคุณจะเขียนวิจารณ์หนังสือที่คุณซื้อไปจากร้านหนังสือ Amazon.com หรือคุณคุณจะบันทึกเสียงในรูปแบบของ Podcast ให้คนทั้งโลกได้ฟังคุณก็ยังได้ คุณอาจจะเปิด Blog เพื่อแต่งเพลงใหม่ที่มีเนื้อหาพรรณนาถึงกองขยะของคุณ คุณอาจใส่ภาพคนวิ่งหนีระเบิดลงไป หรือแม้แต่สร้าง Open-source ซอล์ฟแวร์เพื่อแบ่งปันให้คนอื่นเอาไปใช้ฟรีๆ

3 PERSON OF THE YEAR By Lev Grossman อเมริกาชอบที่จะเป็น “อัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว” อย่างไอน์สไตน์ หรือเอดิสัน แต่นักฝันผู้เดียวดาย เหล่านั้นก็อาจเรียนรู้ที่จะทำอะไรร่วมกันคนอื่นๆได้เหมือนกัน บริษัทผลิตรถยนต์จัดการประกวดออกแบบรถ ผ่านทาง Web Blog ของรอยเตอร์ เพื่อแสวงหาแนวคิดที่เปิดกว้างแบบใหม่ๆ เช่นเดียวกับที่ไมโครซอฟ พยายามให้ผู้ใช้สามารถออกแบบโปรแกรมบน Linux เรากำลังได้เห็น ผลิตผลและนวัตกรรม ระเบิดปะทุออกมาอย่างรุนแรง และนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ใครคือคนเหล่านี้ พูดให้ชัดลงไปอีกหน่อย ใครกันที่เป็นคนซึ่งนั่งลงหลังจากที่ทำงานมาทั้งวันแล้วพูดว่า คืนนี้ฉันจะไม่ดูเรื่อง Lost ฉันจะเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วก็สร้างหนังสักเรื่องหนึ่งโดยใช้ตัวอีกัวน่าของฉันเองเป็นผู้แสดงนำ ฉันจะเข้าไปเขียนใน Blog เกี่ยวกับเนื้อสเต๊กจากร้านข้างถนน หรืออะไรแบบนี้ ใครกันที่ใช้เวลาและพลังงานไปกับความหลงใหลอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้? คำตอบก็คือ “คุณ” นั่นแหละที่ทำอะไรแบบนั้น คุณนั่นแหละทากุมบังเหียนแห่งโลกมีเดีย คุณนั่นแหละที่ก่อร่างสร้างสิ่งที่เรียกว่า New Digital Democracy ขึ้นมา เพื่อให้มันทำหน้าที่ตามใจตัวคุณเองในแบบของคุณในเกมที่คุณกำหนด ดังนั้นบุคคลแห่งปีของ TIME ในปี 2006 ก็คือ “คุณ” นั่นเอง Web 2.0 อาจนำมาซึ่งเรื่องราวที่มาจากสมองโง่ๆของผู้คนเท่าๆกับที่มันอาจจะมาจากมันสมองอันชาญฉลาดได้เหมือนกัน Comment บางเรื่องที่คุณได้เจอใน YouTube อาจทำให้คุณต้องหลั่งน้ำตาให้กับอนาคตของมนุษยชาติในยามที่คุณอ่านมันตามลำพัง บางเรื่องที่คุณได้เห็นอาจเป็นเรื่องชั่วช้าลามก และบางเรื่องอาจเป็นเพียงแค่การเปลือยเปล่าความจงเกียจจงชังออกมา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องของอะไร มันก็น่าสนใจทั้งนั้น Web 2.0 คือห้องทดลองชีวิตขนาดมหึมา ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากห้องทดลองทั่วไปที่มีความพยายามจะให้มันออกมามีคุณค่าสูงส่ง แต่มันกลับล้มเหลว ไม่มีสูตรสำเร็จหรือแผนที่บอกทางใดๆ เพราะมันไม่ใช่แบททีเรียที่มีชีวิต แต่มันคือการทำงานร่วมกันของคนที่เข้าสู่มันจำนวนมากกว่า 6 พันล้านคน ปี 2006 ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า นี่คือโอกาสที่จะทำให้เกิดกระบวนใหม่ล่าสุดในการสร้างความเข้าใจกันของนานาชาติ ไม่ใช่นักการเมืองกับนักการเมือง ไม่ใช่บุคคลที่ใหญ่กับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ แต่มันคือประชาชนกับประชาชน บุคคลกับบุคคล มันคือการที่คนได้มองไปที่จอภาพคอมพิวเตอร์ แล้วต้องประหลาดใจว่าใครที่เขามองเห็นจากจอภาพนั้นก็คือตัวของพวกเขาเอง หรือคุณจะบอกว่า..คุณเป็นคนที่ไม่ชอบอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อย

4 POWER TO THE PEOPLE PERSON OF THE YEAR
ตอนนี้สื่อทั้งมวลอยู่ในมือคุณแล้ว และต่อแต่นี้ไป โลกจะไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น พบกับประชาชนแห่ง New Digital Democracy By Lev Grossman ไลล่าตัวจริงก็เหมือนไลล่าสาวน้อยในภาพยนตร์ เธอไม่เคยใส่นามสกุลจริงของเธอในเวลาที่เธอ up load วีดิโอของเธอใน blog เธอใส่วีดิโอของเธอใน YouTube มาแล้ว 49 เรื่อง โดยใช้ชื่อว่า pppppanic (มีตัว p ถึง5 ตัว) เธอพูดแบบเปิดอกใน Web cam เกี่ยวเรื่องราวในชีวิตของเธอ ความคิดเห็นของเธอ แสดงออกถึงอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของเธอ ที่มีต่ออะไรก็ตามที่ได้ทำไปในแต่ละวัน เธอชอบพูดโดยออกเสียง อืม..หรือไม่ก็ อา...อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนที่ดื่มจนกึ่มแล้วมาเข้า blog บางทีเธอก็ไม่พูดอะไรเลย แค่พิมพ์ตัวหนังสือให้วิ่งผ่านหน้าจอที่มีภาพและเพลงของนักร้องดังเป็น Background สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ YouTube ออกแบบมาเพื่อให้เป็นเช่นนี้ แต่เพื่อให้เป็นที่ซึ่งวัยรุ่นหรือคนหนุ่มคนสาวได้ใช้เป็นที่เผยแพร่ภาพวีดิโอต่อสายตาสาธารณะ แต่บางครั้งสิ่งที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นมาอย่างดีแล้วนั้น ผู้ใช้จะเป็นผู้ที่จะออกแบบวิธีใช้มันด้วยตัวของพวกเขาเอง ไลล่ากล่าวว่า “คุณมีคนมากมายที่อยากจะแบ่งปันเส้นทางชีวิตของพวกเขากับคนอื่นๆ ความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นสิ่งที่สวยงาม” ไลล่าเล่าว่า เธอไม่ดูโทรทัศน์มานานแล้ว เพราะรู้สึกเบื่อหน่าย เธอบอกว่า “ฉันคิดว่าคนกำลังเบื่อหน่ายรายการโทรทัศน์ในกระแสหลัก ฉันเลยชอบดูวีดิโอที่คนอื่นๆทำขึ้นมา ฉันว่ามันดูแล้วให้ความบันเทิงได้มากกว่า ดูแล้วให้ความรู้สึก Real มากกว่ารายการ Reality โหลๆทางโทรทัศน์ คำถามที่เกิดขึ้นเสมอๆก็คือ เรื่องราวในวีดิโอเหล่านี้เป็นของแท้แค่ไหน ไลล่าสรุปว่า “ฉันว่ามันเป็นเรื่องบกพร่องเพียงนิดหน่อยเท่านั้น คุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าทั้งหมดของอีกด้านหนึ่งในเรื่องราวที่คุณเห็นนั้นมีเรื่องราวเป็นอย่างไร ที่คุณจะทำได้ก็เพียงแค่เชื่อไปตามที่เห็นว่าคนๆนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ไลล่า สาวน้อยผู้อ้างว้าง Lonely girl 15 “สาวน้อยผู้อ้างว้างวัย 15 ปี ผู้ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปดู Web site YouTube เกือบตลอดเวลา เธอคือสาวน้อยผู้น่ารัก ผู้ซึ่งมีบุคลิกภาพและมีวิถีชีวิตส่วนตัว ที่ซับซ้อน เธอทำงานเป็นนักเขียนนิยาย” เรื่องราวของ Lonely girl 15 คือ บทภาพยนตร์ที่เขียนโดยนักเขียนบทมืออาชีพที่เขียนร่วมกับนักแสดงหญิงจากนิวซีแลนด์ Woody Allen ผู้สร้างภาพยนตร์Hollywood บอกว่า คุณไม่อาจมีทุกๆสิ่งได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีตัวละครสาวน้อยวัย 15ผู้อ้างว้างอยู่จริงๆที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ตัวละครที่ชื่อไลล่านั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ เธออายุ 20 ปี และอยู่ที่ Maryland ที่ซึ่งเธอกำลังศึกษาเพื่อที่จะออกมาทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ บุคลิกของไลล่าตัวจริงเป็นที่มีความซับซ้อน เธออธิบายที่มาของตัวเองว่ามีเชื้อสายชาวตะวันออกกลาง เธอเป็นลูกครึ่งเลบานอน และเธอเป็นชาวมุสลิม

5 POWER TO THE PEOPLE The Madonna of MySpace PERSON OF THE YEAR
ตอนนี้สื่อทั้งมวลอยู่ในมือคุณแล้ว และต่อแต่นี้ไป โลกจะไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น พบกับประชาชนแห่ง New Digital Democracy Tila Tequila The Madonna of MySpace Tila Nguyen เพิ่งจะมีอายุได้แค่ขวบเดียวตอนที่ย้ายจากสิงคโปร์ไปอยู่ที่สหรัฐ ที่จริงแล้วเธอมีเลือดเวียตนาม แต่อยากใช้ชีวิตแบบตะวันตก เดี๋ยวนี้เธออายุ 25 ปี และใช้ชื่อในอาชีพของเธอว่า Tila Tequila อาชีพที่ผสมปนเปกันระหว่างความเป็น rapper,นักร้อง,นางแบบ นักแสดง และ blogger แต่ความจริงแล้วตอนนี้เธอคือ หญิงสาวที่คนเป็นล้านๆคนรู้จักเธอในฐานะของราชินีแห่ง MySpace เธอมีเพื่อนที่รู้จักเธอจาก web site MySpace มากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนคน ภาพวิดีโอของเธอใน MySpace ถูกชมมากกว่า ห้าสิบล้านครั้ง ผู้คนจากทั่งโลกเข้าสู่ web blog ของเธอเพื่อจะฟังเธอพูด อ่านสิ่งที่เธอคิด ฟังเพลงของเธอ เธอได้เพื่อนใหม่ๆราวๆสามพันถึงห้าพันคนทุกวัน เธอคือดาวดวงใหม่ซึ่งไม่ได้เป็นผลิตผลจาก studio หรือ หรือจากรายการโทรทัศน์ แต่เธอคือดาวเด่นขวัญใจคนเป็นล้านๆที่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า click by click ก่อนที่เธอจะโด่งดังเป็นพลุแตกใน MySpace เธอเคยส่งภาพวีดิโอของเธอไปไว้ใน Playboy.com และเธอก็กลายเป็นสาวเอเชียคนแรกที่ได้เป็น Girl of the Month และต่อมาก็เธอก็เป็นนางแบบให้รถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อน เมื่อ web site MySpace ก่อตั้งขึ้น Tom Anderson ได้เชิญให้เธอเข้ามาใน

6 POWER TO THE PEOPLE PERSON OF THE YEAR
ตอนนี้สื่อทั้งมวลอยู่ในมือคุณแล้ว และต่อแต่นี้ไป โลกจะไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น พบกับประชาชนแห่ง New Digital Democracy MySpace เพื่อโปรโมท web site เธอเล่าว่า “ฉันมาร่วมกัน MySpace เมื่อเดือนกันยายน ปี 2003 ตอนนั้นยังมีใครรู้จัก MySpace ทีแรกฉันรู้สึกว่าต้องแย่แน่ แต่แล้วเพียงแค่ข้ามคืนก็มี หลั่งไหลมาหาฉันสักราวๆสามหมื่นถึงห้าหมื่นฉบับได้ ฉันตอบพวกเขาและขอให้พวกเขากลับเข้ามาอีก ทุกคนก็เข้ามาใน MySpace เพียงแค่ข้ามคืน” ด้วย MySpace Tila คนเดิมก็เปลี่ยนเป็น Tila คนใหม่ให้กลายเป็น Game ใหม่บน MySpace เป็นเกมว่าใครจะเป็นคนที่มีเพื่อนมากที่สุดมากกว่าเธอ เล่าอีกว่า “ฉันกลายเป็นตัวอย่างให้พวกเขาเลียนแบบ พวกเขาทำแบบที่ฉันทำ ทุกคนเริ่มที่จะใช้วิธีโปรโมทตัวเองแบบที่ฉันทำ มันไม่ใช่สำหรับทุกคนหรอกที่คิดว่านี่คือการเปลี่ยนไปสำหรับสิ่งที่ดีกว่า บางคนอาจทำแบบนี้เพียงแค่เล่นสนุก หรือแค่อยากแข่งขันกันว่าใครจะมีเพื่อนจากทั่วโลกได้มากกว่ากัน” แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอทำในสองปีต่อมา เพราะเธอได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นธุรกิจ เธอบอกว่า “มันคืองานของเธอ” เธอเล่าต่อว่า “งานก็คือคุณจะทำอย่างไรเพื่อคนความดัง และเก็บรักษาบรรดาแฟนๆของคุณเอาไว้ให้ได้นานๆต่างหาก” เธออาศัยสิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมจาก web 2.0 เพื่อสร้างธุรกิจเหมือน CEO. ทั่วๆไป เธอขายโปสเตอร์, ปฏิทิน, ผ้าพันคอ, T-Shirt, เธอกลายเป็นนางแบบหน้าปกนิตยสาร Maxim ฉบับบออนไลน์เพียงคนเดียว และในปีหน้าเธอจะได้ร่วมแสดงภาพยนตร์กับ Adam Sandler เธอมีผู้จัดการส่วนตัวสี่คนที่คอยจัดการเรื่องต่างๆเช่น ภาพลักษณ์ ให้เธอ เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าความโด่งดังของเธอนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จะเรียกเธอว่าเธอเป็น ตัวแทนแห่งชัยชนะที่มาจาก สื่อที่เรียกว่า new democratic ได้หรือไม่? หรือจะเรียกว่าเธอคือผลผลิตของการระเบิดออกของความต้องการของผู้คนที่ล้นเอ่อจนเกินพอดี จะเรียกเธอว่าแบบไหนกันดี แต่เธอรู้ดีว่ามันได้ผล เธอบอกว่า “มีคนแก้ผ้าให้ดูผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นล้านๆคน แต่เธอคือความแตกต่าง เพราะคน(ที่เปลือยให้ดู)เหล่านั้น จะไม่คุยกับคุณเหมือนกับที่ฉันทำ”

7 POWER TO THE PEOPLE The Intertainers PERSON OF THE YEAR
ตอนนี้สื่อทั้งมวลอยู่ในมือคุณแล้ว และต่อแต่นี้ไป โลกจะไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น พบกับประชาชนแห่ง New Digital Democracy Smosh The Intertainers วันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 2005 มีวีดิโอชิ้นหนึ่งที่ถูก up load ขั้นไปบน YouTube มันเป็นวิดีโอการแสดงของเด็กสองคนจากมหาวิทยาลัย American River College เขาคือ Anthony Padilla กับ Ian Hecox โชว์ของพวกเขาเป็นการร้องเพลงลิปซิ๊งค์ เพลง Theme จากโปเกม่อน เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยม พวกเขางับเนื้อเพลงได้อย่างแนบเนียน มีคนเข้าไปดูวิดีโอของพวกเขามากกว่า 17 ล้านครั้ง ในเวลาหกเดือน และทำลายสถิติจำนวนผู้เข้าชมวิดีโอใน YouTube สูงสุด คุณคิดว่าจำนวนผู้ชมขนาดนี้มากพอที่จะเขย่าโลกสื่อได้หรือไม่ Anthony Padilla กับ Ian Hecox ใช้ชื่อเล่นในโชว์ของพวกเขาว่า Smosh และพวกเขากลายเป็น Saturday Night Live แห่ง YouTube ไปเรียบร้อยแล้ว วิดีโอของพวกเขากลายเป็นต้นแบบ และขวัญใจของพวกที่มีรสนิยมทำอะไรติงต๊อง หลังจากพวกเขาโด่งดังจาก theme song ของโปเกม่อน ก็มี โชว์จาก theme song อื่นๆตามออกมา เช่น จาก Power Rangers, Motal Kombat พวกเขาสร้างมุขตลกในสไตล์เดิมได้เรื่อยๆไม่มีหมด แต่ Anthony Padilla กับ Ian Hecox ก็ยังไม่สามารถทำเงินได้จากโชว์ของพวกเขา แม้ว่าช่องทางหาเงินทางหนึ่งของพวกเขาก็คือการขายโฆษณาใน web site ของพวกเขา Smosh.com ก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วสำหรับ Anthony Padilla กับ Ian Hecox ก็เป็นคนดังจากอินเตอร์เน๊ตที่เหมือนกับคนธรรมดาๆทั่วไป พวกเขาบอกว่า “แฟนของเราไม่ชอบสิ่งที่เราทำเพราะมันทำให้เราไม่มีเวลาว่างให้พวกเธอ” Hecox เล่าว่า “ทำวิดีโอต้องใช้เวลามากและเราก็ต้องหลายๆชิ้นไปพร้อมๆกัน ที่จริงแล้วมันได้กระทบชีวิตของเรานักหรอก” ความฝันปลายทางก็คือ อยากจะเป็นให้เหมือนกับ Andy Samburg [Lazy Sunday] นักแสดงตลกที่โด่งดังมาจากอินเตอร์เน็ต แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้เช่นนั้น Padilla บอกว่า “อนาคตข้างหน้ายังเปิดกว้าง ดูเหมือนว่าคุณยังมีศักยภาพที่จะ ทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมาย ดังนั้นจงทำสิ่งที่คุณทำอยู่ต่อไป แต่ถ้าที่ทำไปมันออกมาเปล่าประโยชน์ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยใช่ไหม”

8 POWER TO THE PEOPLE The Duke of Data PERSON OF THE YEAR
ตอนนี้สื่อทั้งมวลอยู่ในมือคุณแล้ว และต่อแต่นี้ไป โลกจะไม่เหมือนอย่างที่มันเคยเป็น พบกับประชาชนแห่ง New Digital Democracy Simon Pulsifer The Duke of Data ใครที่เข้าไปเขียน หรือใส่ข้อมูลไว้ในใน web site Wikipedia จะต้องเขียนชื่อของผู้ที่เอาข้อมูลเหล่านั้นไปใส่ไว้ ในบรรดาคนที่เป็นอาสาสมัครที่เอาข้อมูลไปไว้ใน Wikipedia ย่อมต้องรู้จักและเห็นชื่อของอาสาสมัครที่ใช้ชื่อว่า Simon P. ชื่อจริงของเขาก็คือ Simon Pulsifer หนุ่มวัย 25 ปี ยังไม่ทำงาน และอาศัยอยู่ใน Ottawa Simon Pulsifer เขียนบทความราวๆ 2,000-3,000 เรื่อง และช่วยเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆใน Wikipedia อีกราวๆ 92,000 ชิ้น เขากล่าว่า “ที่จริงแล้วหากนับว่าจำนวนเรื่องที่เขาเข้าไปช่วยเขียนเพิ่มเติมใน Wikipedia นั้น ผมเป็นอันดับสอง หากนับตามจำนวนเรื่อง แต่นั่นก็ไม่เลวหรอกสำหรับผม” Simon Pulsifer ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ Wikipedia ครั้งแรกในปี 2001 แต่เขาสนใจจริงจังอีกครั้งในปี 2003 เรื่องเกิดจากหน้าร้อนในปีนั้น เขาเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายงานในช่วงหน้าร้อนที่ทำอยู่แบบสุดๆ และในตอนนั้นเองที่เขาบอกว่า เป็นช่วงที่เขาทุ่มเทให้กับการเขียนข้อมูลลงบน Wikipedia แบบสุดตัว ทำไมคนบางคนจึงจึงยอมเสียสละเวลาได้มากมายขนาดนั้น? Simon Pulsifer เล่าว่า “มันก็เหมือนการเสพติดแบบหนึ่ง” ครั้งหนึ่งตอนที่เขายังเรียนหนังสือที่โรงเรียน ตอนนั้นเขาเรียนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รัสเซีย ในชั้นเรียน เขาค้นคว้าและเขียนเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับประวัติพระเจ้าชาร์ เขาเขียนบางส่วนของประวัติศาสตร์แอฟริกา และเขียนเรื่องที่ค้นคว้าจากบางส่วนในคัมภีร์ไบเบิ้ล บางครั้งก็เรียนเรื่องโดยใช้หัวข้อว่า “off the top of my head” และงานวิจัยอื่นๆ อีกหลายชิ้น Simon Pulsifer บอกว่า “มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากที่จะได้เขียนงานในออนไลน์ มันไม่ใช่เรื่องกล้วยๆที่จะได้เขียนอะไรให้คนเป็นล้านๆได้อ่าน” หลังจากนั้นไม่นาน Simon Pulsifer ก็ได้กลายมาเป็นคนสำคัญใน Wikipedia Wikipedia มิใช่สวรรค์ของนักสร้าง content มีความบกพร่องมากมายในนั้น แต่มันก็อยู่ภายใต้ข้อยกเว้น แม้ว่ามันจะถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก กว่า encyclopedia Britannica บางคนเข้ามาเพื่อสนุกกับการทำลายมัน ลบหรือทำให้มันออกมาผิดๆถูกๆก็ตาม เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบรรดาสมาชิกรัฐสภาได้พากันประกาศว่า Wikipedia ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่บ่อนทำลายประวัติของสมาชิกรัฐสภามากที่สุด จะว่าไปแล้วไป Wikipedia ก็มีหน้าที่ไม่ต่างอะไรจากกระดาษลิตมัส(กระดาษที่ใช้ตรวจความเป็นกรดเป็นด่าง) ที่มีไว้ตรวจสอบพฤติกรรมมนุษย์นั่นเอง Simon Pulsifer ยังคงทำหน้าที่เขียนและแก้ไขข้อมูลบน Wikipedia โดยลดลงเหลือแค่วันละ 250 เรื่อง เขาบอกว่า “อยากจะเรียนให้จบ เรียนจบแล้วก็จะเลิกเขียน” ขณะนี้มีคนเสนองานให้เขาสองสามงาน ใครจะรู้ว่าอาจมีใครบางคนที่กำลังเบื่อทำงานในหน้าร้อนนี้ และหันมาทำแทนที่ Simon Pulsifer บน Wikipedia ก็ได้ ใครๆก็รู้ดีว่าการทำงานตอนหน้าร้อนน่ะมันน่าเบื่อจะตายไป!

9 THE BEAST WITH A BILLION EYES
PERSON OF THE YEAR THE BEAST WITH A BILLION EYES บน web site, ใครที่มีกล้องดิจิตอลในมือ ก็หมายถึงเขามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้นั่นเอง By James Poniewozik ความจริงผู้คนต่างมีกล้องดิจิตอลใช้มานนานเป็นสิบปี แต่เพิ่งมี web site ที่จะเอาวิดีโอไปฝากไว้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านนี้เอง นี่จึงเกิดการรวมกันระหว่างสองสิ่ง คือ กล้องที่ใช้ง่าย ราคาถูกกับการเปิดพื้นที่ออนไลน์ให้ใช้ฟรี บน web site YouTube นี่ไม่ใช่แค่การเกิดขึ้นของสื่อใหม่ แต่มันคือความหลากหลายบนหนึ่งเดียวต่างหาก มันคือระบบการตรวจสอบ-ควบคุม หากคุณยกให้ YouTube เป็นสุดยอดแห่งการปฏิวัติวงการมีเดีย คุณก็ต้องให้เครดิตกับโทรศัพท์มือถือด้วย เพราะพวกเขาทำให้อำนาจเกิดขึ้นในมือคุณ อะไรเกิดขึ้นเมื่อคนนับเป็นล้านๆคนมีอำนาจอยู่ในกำมือที่สามารถจะหยิบมันมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และส่งภาพเหล่านั้นไปทั่วโลก มันทำให้คุณมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนทั้งโลกเกี่ยวดองกันกลายเป็นสังคมแบบ Telepathy ในปี 1991 เมื่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งส่งภาพวีดิโอที่บันทึกภาพตำรวจกำลังรุมทำร้าย Rodney King ในมหานคร Los Angelis สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ คิดดูสิขณะที่ตำรวจ 4 คนกำลังรุมยำคนเคราะห์ร้าย แต่คนๆหนึ่งที่มีกล้องดิจิตอลในมือ กลับใช้มันเป็นหลักฐานเล่นงานตำรวจ 4 คนจนอยู่หมัด ทุกๆวันกรมตำรวจเข้าไปใน web site YouTube เพื่อค้นหาภาพตำรวจนักเลงซ้อมผู้ต้องหา และพบว่ามีวีดิโอมากกว่า 780 เรื่อง ตั้งแต่ Houston, ฮังการี, อียิปต์ และอื่นๆ นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าวิดีโอที่อยู่บน web site YouTube เหล่านั้นได้มีส่วนร่วมในการแบ่งปันแลกเปลี่ยนและถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างดียิ่ง

10 THE BEAST WITH A BILLION EYES
PERSON OF THE YEAR THE BEAST WITH A BILLION EYES บน web site, ใครที่มีกล้องดิจิตอลในมือ ก็หมายถึงเขามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้นั่นเอง By James Poniewozik Clay Shirky จากภาควิชาการสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัย New York กล่าวว่า “เมื่อครั้งที่เกิดเหตุวินาศกรรมรถไฟใต้ดินในลอนดอน พวกช่างภาพ paparazzi ได้บันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ได้มากกว่าบรรดาช่างภาพข่าวมืออาชีพเสียอีก” ถ้าหาก YouTube เคยทำให้บรรดาดารานักแสดง และช่างภาพมืออาชีพต้องประสาทกินมาแล้ว คราวนี้ล่ะถึงตาที่นักการเมืองจะต้องหัวปั่นกันบ้างล่ะ เมื่อวุฒิสมาชิกแห่งรัฐมอนตาน่า Conrad Burns ได้กลายมาเป็นดาราหน้ากล้องใน YouTube เมื่อมีภาพของเขาปรากฏในขณะที่เขานั่งสัปหงกในขณะที่มีการประชุมรัฐสภาส่วนอีกคนหนึ่งที่กลายเป็นดาราจำเป็น ได้แก่ วุฒิสมาชิกจากคอนเน็คติกัต Joe Lieberman ตัวเก็งผู้เข้าชิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในภาพนั้นเขาเอียงศีรษะโน้มเข้าไปหาจนใบหน้าแนบแก้มของประธานาธิบดีบุช (ต่อมา Joe Lieberman พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งขั้นต้น) เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด คนในแวดวงการเมืองกลายเป็นผู้กำกับรายการ Reality show ส่วนตำรวจนักเลงต้องตกงานเพราะความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มันคือสปอตไลท์ หากคุณยกให้

11


ดาวน์โหลด ppt ทฤษฎีของ Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวสก็อต กล่าวไว้ว่า

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google